มีบางท่านกล่าวว่าฝ่ายโลกทิพย์จะถือสัจจะและกตัญญูเป็นใหญ่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริงของสภาพธรรม ไม่มีโลกฝ่ายสวรรค์ ฝ่ายนรก แต่ สัจจะ ที่เป็นอภิธรรม มีแต่ ธรรมฝ่ายดี ฝ่ายไม่ดี ธรรมฝ่ายขาว ธรรมฝ่ายดำ และ ยังละเอียดลงไปอีก คือ ธรรมฝ่ายไม่ขาว ธรรมฝ่ายไม่ดำ
ธรรมฝ่ายดีที่เป็นกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดในที่ไหน ภพภูมิใด เวลาใด บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญในความดีที่เป็นธรรมฝ่ายขาว และ โดยนัยตรงกันข้าม ธรรมฝ่ายดำที่เป็นอกุศลธรรม คือ ความไม่ดี ที่เป็นอกุศลประการต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน ภพภูมิใด เวลาใด ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดี ไม่เปลี่ยนลักษณะ บัณฑิตทั้งหลายย่อมติเตียนในสิ่งเหล่านั้น
ดังนั้น เมื่อไม่มีฝ่ายสวรรค์ ฝ่ายนรก ตามที่โลกสมมติกันขึ้น มีแต่ธรรมที่เป็นสัจจะความจริง ที่เป็น ฝ่ายดี ไม่ดี เป็นต้น ธรรมที่ดี ก็ต้องดี ธรรมที่ไม่ดี ก็ต้องไม่ดี เพียงแต่ว่า ในความละเอียดของธรรมฝ่ายดี ที่เป็นโสภณธรรม ความละเอียดของสภาพธรรมฝ่ายดีแต่ละอย่างก็มีความละเอียดของสภาพธรรมแตกต่างกันไป ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า ในบรรดากุศลธรรมทั้งหลาย วิชชา หรือ ปัญญา เป็นหัวหน้าของกุศลธรรมและประเสริฐที่สุด เพราะเหตุว่า เมื่อมีปัญญาความเห็นถูก กุศลธรรมประการต่างๆ ย่อมเจริญขึ้นเพราะอาศัยปัญญา ความกตัญญูกตเวทีจะเจริญมากขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีปัญญาที่เห็นถูกว่า ผู้ใดมีคุณและควรตอบแทนคุณอย่างไร ซึ่งความกตัญญูกตเวทียังมีความละเอียดลึกซึ้งลงไปหลายระดับ ผู้ที่เป็นสาวก ชื่อว่า กตัญญู เพราะประพฤติตามคำสอนและบรรลุธรรม ส่วนพระพุทธเจ้าชื่อว่าบุพพการี คือ ทำคุณโดยไม่ได้มีเหตุหรือหวังผลตอบแทน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่มีปัญญา จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ก็ไม่ถึงความเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีที่สมบูรณ์และสูงสุดได้เลย ครับ
ปัญญา วิชชา ที่เป็นความเห็นถูก จึงเป็นหัวหน้าของกุศลธรรมทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะโลกไหน เพราะก็มีโลกที่เป็นสัจจะความจริงเท่านั้น บัณฑิตทั้งหลายก็สรรเสริญปัญญา วิชชา ว่าเป็นยอดสูงสุด ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอกุศลธรรมหรือกุศลธรรม ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ปกติในชีวิตประจำวันของผู้ที่ยังมีกิเลส ยังถูกผูกมัดไว้ด้วยกิเลสประการต่างๆ จึงมีอกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา และเกิดมากกว่ากุศลด้วย
การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นปกติ บ่อยๆ เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของพระธรรมคำสอนก็ตาม ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกทั้งสิ้น ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบในการฟัง ในการศึกษา เมื่อมีความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นไปตามลำดับ ย่อมจะทำให้เป็นผู้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นโทษเห็นภัยของอกุศล และเห็นคุณค่าของกุศลธรรม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาททั้งในกุศลและในอกุศลแม้จะเล็กน้อย เป็นผู้เจริญกุศลประการต่างๆ เพื่อขัดเกลาอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่าเมื่อกุศลไม่เกิดขึ้น ไม่เจริญขึ้น ก็เป็นโอกาสของอกุศลที่นับวันจะพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังอีกยาวไกล กุศลธรรมเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย จนกว่าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์
กุศล ความดีประการต่างๆ เช่น สัจจะ ความจริงใจ ความเป็นผู้ตรง จริงใจต่อการที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพราะเห็นโทษของอวิชชาความไม่รู้ที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ จริงใจต่อการที่จะสะสมกุศล เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ตลอดจนถึงความเป็นผู้รู้จักคุณความดีที่ผู้อื่นกระทำ แล้วกระทำตอบแทน ล้วนเป็นสิ่งที่ควรน้อมประพฤติทั้งนั้น กุศลเท่านั้นที่ควรเจริญ ส่วนอกุศลเป็นสิ่งที่ควรละ ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่โทษโดยส่วนเดียว อกุศลเกิดกับใครก็ไม่ดีทั้งนั้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...