ธรรมะจากพม่า 4 ข้อคิดจากพม่า
ข้อคิดจากพม่า
เช้าวันสุดท้ายในพม่า มีการสนทนาธรรมที่บริเวณหลังโรงแรม ด้านที่ติดกับ ทะเลสาบ เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ทำการถ่ายภาพและบันทึกเป็นวิดีโอเพื่อเผยแพร่ต่อไป จึง ไม่ได้นำมาเล่าในที่นี้ (เช่นเดียวกับการสนทนาธรรมที่เจดีย์ชเวดากอง) ขณะที่ผู้มี อัธยาศัยในการฟังธรรม ก็อยู่ร่วมฟังธรรมเป็นจำนวนมาก อีกกลุ่มหนึ่งไปชมพระนอนตา หวาน และสถานที่ต่างๆ ทราบว่าคุณวันชัยส่งอาจารย์วิชัย วิทยากรมูลนิธิฯไปเก็บภาพ แทน ขอภาพประกอบอย่างเคยด้วยค่ะ
เพราะวันนี้ดิฉันกลับตัวเป็นผู้ใหญ่ดี ที่อยู่ร่วมสนทนาธรรม ทั้งๆ ที่หมออาคม เพื่อนสนิททักท้วงว่า อยู่เมืองไทยฟังธรรมวันละ 8 ชั่วโมง (ตัวคุณหมอเอง ไม่ใช่ดิฉัน เพื่อถอดเทปและพิมพ์เก็บไว้ที่กระดานข้อมูล) ตอนนี้เขาให้มาเที่ยว ก็น่าจะไปเที่ยว ขอบคุณค่ะ แต่เผอิญเคยไปมาแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่ต้องให้ใครชวน คุณโลภะ ที่เป็นทั้ง เพื่อนสนิทและนายใหญ่ ก็ทำหน้าที่ชักชวนให้ไปเที่ยวอยู่ดี แม้เขาไม่พาไป ก็ยัง ตะเกียกตะกาย กระเสือกกระสนหาทางไปจนได้
ช่วงบ่ายท่านอาจารย์และคณะบางส่วนไปถวายปัจจัยบำรุงพระเจดีย์ชเวดากอง ตามที่คุณวันชัย ประชาสัมพันธ์ของมูลนิธิได้เรียนให้ได้ทราบเพื่อให้ร่วมอนุโมทนาโดย ทั่วกัน แล้ว สาธุ
พวกเราที่เหลือถูกปล่อยลงที่ตลาดสก็อตต์ เพื่อจับจ่ายซื้อของ เดินจนทั่วก็ไม่ ได้ซื้ออะไร ตลาดก็ร้อนอบอ้าวมาก ตลาดสำเพ็งหรือจตุจักรยังน่าเดินดูมากกว่า และคิด ถึงหินหยกและเครื่องเขินที่ซื้อไปเมื่อ 10 ปีก่อน ก็ยังกองอยู่อย่างเก่า
ได้เวลาสมควรก็ถึงเวลาเดินทางไปรอขึ้นเครื่องกลับดอนเมือง ระหว่างการเดิน ทาง น้องมะตู แม้ภาษาไทยไม่แข็งแรงเหมือนไกด์ไทยใหญ่ ที่พูดไทยชัดมาก จนแยกไม่ ออก แต่เธอก็ขยันเล่าเรื่องต่างๆ เกือบตลอดเวลา ทำให้ทราบประเพณี วัฒนธรรมที่แตก ต่าง และเข้าใจความเป็นพม่ามากขึ้น ความรู้ย่อมดีกว่าไม่รู้ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น และที่ สำคัญต้องรู้จริงด้วยจึงจะเป็นประโยชน์
มะตูเล่าว่า เมื่อพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษนั้น ข้าหลวงอังกฤษต้องการขึ้นไป ชมเจดีย์ชเวดากอง แต่ไม่ยอมถอดรองเท้า แม้จะเจรจากันหลายรอบ จนในที่สุดคนพม่า ก็มาประชุมกันว่า ถ้าไม่ยอมถอดรองเท้า ก็จะมารวมกันนอนบนพื้นพระเจดีย์จนเต็ม ให้ข้า หลวงผู้ดื้อรั้นคนนั้นเดินเหยียบบนหลัง เมื่อเห็นความพร้อมเพรียงและมั่นคงในขนบ ธรรมเนียมปฏิบัติสถานที่ควรเคารพอย่างสูงสุดเช่นนั้น ข้าหลวงท่านนั้นก็ยอมถอด รองเท้า น่ายกย่องการต่อต้านอย่างสันติ ที่ทำให้ผู้ถูกต่อต้านละอายใจและยินยอมทำ ตามในที่สุด ไม่จำเป็นต้องทำทุจริตทางกายวาจา เช่น ด่าทอด้วยคำหยาบคาย ทำลาย สิ่งของ เผาบ้าน เผาเมือง หรือทำร้ายร่างกาย จนถึงฆ่าฟันกัน เหมือนอย่างที่เราเห็น ใกล้ๆ ตัว
สำหรับรายได้ของคนพม่านั้นต่ำมาก ประมาณวันละ 100 บาท ถ้าเป็นแพทย์ จะ ได้เงินเดือนประมาณเดือนละ 5,000 บาท ขณะที่อาหารแพงมาก ก๋วยเตี๋ยวอย่างที่พวก เรารับประทานชามละ 80 บาท ถ้าสังเกตจะเห็นคนพม่าหิ้วปิ่นโตจากบ้านกันทุกคน ภัตตาคารและร้านอาหารมีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเศรษฐีเจ้าของเหมือง หยก เหมืองทับทิม เหมืองทองของพม่าเท่านั้น แต่ก็มีเป็นจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับ ประชากรทั้งหมด สำหรับมะตูเองมีคนถามว่า เป็นไกด์ได้วันละเท่าไร เธอตอบว่าได้ 30 ยูเอสดอลลาร์ พวกเราฮือฮาบอกว่า อย่างนี้มะตูก็รวยซิ เธอตอบความจริงว่า แต่ทัวร์ไม่ ได้ลงทุกวัน ไกด์ก็เยอะ และเมื่อรถแล่นผ่านตึกสูงๆ เธอชี้ให้ดูว่า ตึกสูง 15 ชั้นเหล่า นี้ไม่มีลิฟท์ เป็นที่พักอาศัย ถ้าชั้นสูงราคาค่าเช่าก็ถูก มะตูอยู่ชั้น 6 และให้สังเกตเชือกสี ต่างๆ ที่ห้อยลงมาทางหน้าต่าง ที่ปลายมีกระดิ่งผูกไว้ สำหรับพ่อค้าแม่ค้าส่งสัญญาณว่า มาแล้วจ้า ก็จะสั่งสินค้ากัน เมื่อได้แล้วก็สั่นกระดิ่ง เพื่อให้ชักสินค้าขึ้นไป พร้อมกับส่ง เงินลงมา มะตูบอกว่า คนพม่าจะไม่อ้วน เพราะเดินขึ้นลงบันไดทุกวัน (คนอ้วนคือคน รวยที่อยู่ชั้นต่ำๆ หรือมีบ้านส่วนตัว ไม่ต้องขึ้นลงบันไดหลายชั้น) เราอยู่เมืองไทยที่มีทั้ง ลิฟท์และบันได หมออายุรกรรมที่รักษาโรคความดันแนะนำว่า ไม่ควรใช้ลิฟท์ ควรเดิน ขึ้นลงบันได เป็นการออกกำลังกาย ลดไขมันในเลือดได้ แต่หมอวัยทองบอกว่า ไม่ควร เดินขึ้นลงบันได เพราะจะทำให้ข้อเข่าเสื่อม สำหรับผู้สูงอายุ ไม่รู้จะเชื่อใคร ความขี้ เกียจเลยขึ้นลงลิฟท์ทุกครั้ง
เนื่องจากพม่ามีค่าแรงต่ำ จึงมีข่าวกองทัพคนงานพม่าเสี่ยงชีวิตหลบหนีมาหา งานทำที่เมืองไทยซึ่งได้ค่าแรงสูงกว่ามาก (ถ้าเป็นสมัยก่อน ต้องทำสงครามแย่งชิง พลเมืองไปเป็นเชลยศึก เพื่อใช้แรงงาน) บางคนมาทำงานบ้าน ได้เงินเดือนละ 6,000 บาท กินอยู่กับเจ้านาย ขอรับเงินเป็นก้อนตอนกลับบ้านเมื่อทำงานครบ 3 ปี พอครบ กำหนดเจ้านายไม่มีเงินจ่าย จึงแค้นมาก ถึงกับฆ่าฟันกันก็มี ความจริงก็น่าเห็นใจ เพราะอุตส่าห์ลำบากทำงานนานถึง 3 ปี หวังได้เงินก้อนใหญ่กลับไปใช้ที่บ้านเกิด ด้าน เจ้านายก็น่าเห็นใจที่เมื่อเป็นเงินก้อนใหญ่ก็คงไม่มีจ่าย จริงๆ ต่างคนต่างก็ยังมีกิเลส ที่ เป็นเหตุปัจจัยให้ทำทุจริตกรรม ไม่ว่าจะเป็นไทย เป็นพม่า ก็จริงตามสมมติเท่านั้น เพราะที่จริงยิ่งกว่านั้น จริงอย่างที่สุด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ คือ ไม่มีชาติไทย ชาติพม่า มี ชาติอกุศล ชาติกุศล ชาติวิบากและชาติกิริยาเท่านั้น ซึ่งต่างก็เกิดขึ้นทำกิจของตน เหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเกิดกับใคร คือถ้าเกิดเป็นอกุศลก็มีสภาพเร่าร้อน ติดข้อง ต้องการ หนัก มืด กระวนกระวาย ถ้าเป็นกุศล ก็มีสภาพเบาสบาย ไม่ติดข้อง สละ สว่าง สงบ ทั้ง อกุศลและอกุศลให้ผลเป็นวิบาก คือ ทำให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสิ่งที่กระทบ สัมผัสสิ่งที่ดีและไม่ดี ส่วนกิริยาจิตนั้นส่วนใหญ่เป็นจิตของพระอรหันต์ ที่ไม่เป็นเหตุให้ เกิดผล คือ วิบาก เหมือนดอกไม้ลมที่ไม่ให้ผล
เพราะความจริงแล้วมีแต่ชาติของจิตที่เกิดขึ้นทำกิจต่างๆ พระมหากรุณาของ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไร้พรมแดน ไม่เลือกเชื้อชาติ ศาสนาใดๆ เมื่อเข้าใจ ความจริงแท้ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแล้ว ก็สามารถดับความเร่าร้อนของไฟ คือ กิเลส ทั้งหลายได้เหมือนกันหมด แต่การเข้าใจความจริงนั้นก็เกิดไม่ง่ายเลย เพราะทวน กระแสความเคยชินที่สะสมมาให้เห็นว่าเป็นเรา เป็นของเรา เพราะความไม่รู้จึงเกิดความ รักความชัง ทำให้ปิดบังความจริงทั้งหมด เหมือนอยู่ในความมืดมิด เมื่อได้ฟังธรรมะ บ่อยๆ พิจารณาธรรมะที่ได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ก็เกิดแสงสว่างขึ้นทีละนิดๆ พอจะเห็นทางถูก ได้บ้างว่า ต้องเป็นอย่างนี้
ขอกราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่นำพระธรรมของพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าที่ท่านศึกษา เข้าใจดีแล้วมาแสดงให้ฟังซ้ำๆ บ่อยๆ เนืองๆ อย่างไม่เหน็ด เหนื่อย ไม่เบื่อหน่ายความไม่รู้ของผู้ฟังที่ยังมีมาก เมื่อเริ่มฟังธรรมะใหม่ๆ ได้ยินคำว่า นามธรรมและรูปธรรม จิต เจตสิก ก็หงุดหงิดว่า พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นต้องรู้อะไร ละเอียดอย่างนั้นเลย แต่เมื่อพอเข้าใจขึ้นก็รู้ว่า ที่ต้องแสดงละเอียดเพราะว่า ไม่รู้อะไร เลยสักขณะเดียว และอกุศลเกิดเกือบตลอดเวลา แล้วไม่รู้ตัวอยู่ว่าเป็นอกุศล เพราะยัง ไม่รู้จักจิตและเจตสิก นามธรรมและรูปธรรมนั่นเอง แม้ท่านจะแสดงละเอียดลึกซึ้งอย่าง ไร ก็ยังไม่กระจ่างชัดอยู่ดี ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามลำดับ และไม่ใช่เพราะเพียงฟังอย่าง เดียว ต้องพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่ได้ยินได้ฟังด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเริ่มต้นด้วย ความเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ และธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ ที่เตือนให้ระลึกได้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา แม้จะ เพียงขณะที่ได้ยิน แล้วก็ลืมทันทีที่ฟังจบก็ตาม
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงสำหรับเรื่องราวสารคดีและธรรมะดีๆ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัยสำหรับภาพสวยๆ ด้วยครับ
ขอกราบเท้าบูชาท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่แดงด้วยค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. กาญจนา และทุกๆ ท่านด้วย ค่ะ