มงคล และศีลพรตปรามาส.

 
นิรมิต
วันที่  31 มี.ค. 2556
หมายเลข  22712
อ่าน  2,007

กราบสวัสดีท่านวิทยากรและมิตรธรรมที่เคารพทุกท่าน มีความสงสัย ขออนุญาตกราบเรียนถามดังต่อไปนี้ครับ

ตัวกระผมเป็นคนมีเชื้อสายจีน จึงได้มีการไปไหว้เชงเม้งที่สุสาน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของคนจีน และก็จะมีศาลไหว้พระไหว้เซียนเทพยดาองค์โพธิสัตว์ต่างๆ ของทางจีน ซึ่งเมื่อไปแล้ว ก็ทราบว่า พระพุทธรูปของทางจีนนั้น ไม่ใช่พระพุทธรูปซึ่งหมายถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่โดยมากก็หมายถึงพระอามิตพุทธของทางมหายาน แต่ก็ได้ไหว้โดยน้อมจิตถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและองค์เทพต่างๆ ครั้งนี้แม้ไม่ได้ไหว้ แต่ในภายหน้า ก็อาจจะต้องไหว้ด้วยอาศัยเกรงใจในญาติผู้ใหญ่ที่เขานับถือทางนี้ ถ้าจะน้อมไหว้ด้วยอาศัยระลึกถึงกุศลของเทวดาแทนการไหว้เจาะจงบุคคลตัวเทพที่เป็นของจีน ที่ไม่ทราบว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ จะได้หรือเปล่า โดยประการที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าสรณคมขาดหรือด่างพร้อยหรือไม่ และเป็นศีลพรตปรามาสหรือไม่ ประการใดครับ

------------------------------

ทีนี้ ใคร่จะเรียนถามอีกสองสามประการ เพราะเมื่อสงสัยในประเด็นนี้แล้ว จึงให้สงสัยต่อไปอีกดังต่อไปนี้

ก่อนอื่นขอเรียนถามว่า ก็คำว่ามงคลกับคำว่าศีลพรตปรามาส มีความหมายดังต่อไปนี้ถูกหรือไม่ (หรือหากมีความหมายที่ครอบคลุมยิ่งไปกว่านี้ ขอความกรุณาท่านวิทยากรช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ)

มงคล คือ การกระทำ หรือ สิ่งอันจะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญ หรือกุศลวิบากต่างๆ ได้แก่มงคล ๓๘ ประการที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้

ศีลพรตปรามาส คือ การถือความเชื่อในทางที่ผิด โดยที่หมายคิดว่า การกระทำอย่างนั้นๆ จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ หรือก็คือความเป็นไปของมิจฉาทิฏฐิที่คิดว่าการกระทำอย่างนั้นๆ จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่ง มงคล ถ้าใช้คำว่า มงคลตื่นข่าว จะยังไม่ใช่ ศีลพรตปรามาส ใช่ไหมครับ? เพราะมงคลตื่นข่าวบางอย่าง ก็ไม่ได้มีความเห็นว่าจะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน เช่น การไหว้ขอหวยต่างๆ ก็ไม่ใช่เพื่อนิพพาน หรือว่า โดยนัยว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิที่ล่วงการกระทำทางกาย วาจาแล้ว ก็ชื่อว่าเป็นศีลพรตปรามาส แม้ไม่ใช่ความเห็นที่ว่ากระทำอย่างนั้นแล้วจะบรรลุมรรคผลนิพพาน

อีกคำถาม อัตถิกิลมถานุโยค หรือการบำเพ็ญทุกขกิริยา โดยคิดว่าจะบรรลุมรรคผล หรือแม้การจะไปนั่งสมาธิของบุคคลในยุคนี้ แล้วคิดว่าจะบรรลุมรรคผล หรือแม้การกระทำฌาณของดาบสและอัญเดียรถีย์ในสมัยพุทธกาล แม้บรรลุถึงอรูปฌาณขั้นสูงสุด ขณะที่กระทำฌาณนั้นก็เป็นกุศลญาณสัมปยุตต์จริง แต่ถ้าเห็นว่า ฌาณที่ตนได้นั่นแหละ คือการบรรลุมรรคผลนิพพานแ้ล้ว ก็คือศีลพรตปรามาสทั้งหมด ใช่ไหมครับ

แล้ว กามสุขาลิกานุโยค ชื่อว่าเป็นศีลพรตปรามาสด้วยไหมครับ?

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 1 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอ

ขอเสริมความเห็นต่อจาก คุณนิรมิตในส่วนของ มงคล มงคลตื่นข่าว และ สีลัพพตปรามาส

มงคล หมายถึง เหตุแห่งความเจริญ หรือ สิ่งที่จะทำให้ถึงซึ่งความเจริญ เมื่อจะกล่าวโดยสรุปแล้ว มงคลหมายถึงความดีทุกอย่างทุกประการ นั่นเอง เพราะเหตุว่า สิ่งที่ไม่ดีจะนำมาซึ่งผลที่ดีไม่ได้ ผลย่อมตรงกับเหตุ ถ้าเหตุไม่ดีผลก็ต้องไม่ดี แต่ถ้าเหตุดีผลก็ต้องดี ส่วนใหญ่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่ทราบเลยว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล แม้แต่ในขณะนี้เอง เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยกับอีกแสนกัปซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก มงคลแต่ละข้อก็มาจากการตรัสรู้ของพระองค์ ดังนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จึงเป็นมงคลประการหนึ่งด้วย

ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม คือ ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง นำมาซึ่งความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่มงคลมีมากมาย ไม่ใช่เพียงการฟังธรรมเท่านั้น เริ่มตั้งแต่การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต การบูชาบุคคลผู้ควรบูชา เป็นต้น ล้วนเป็นมงคลอันประเสริฐทั้งสิ้น บุคคลผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรม จะเป็นผู้ถึงความเจริญด้วยปัญญาไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าความเจริญจริงๆ ไม่ใช่ความเจริญทางวัตถุ หรือ ความเพิ่มมากขึ้นของความโลภ ความติดข้องต้องการ การแสวงหาในสิ่งที่คิดว่าน่าปรารถนา คือ ลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญ สุข แต่ความเจริญจริงๆ เป็นความเจริญของจิต ซึ่งเริ่มมีปัญญาที่เข้าใจธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ถ้าไม่มีปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเลย อะไรที่เจริญ? ย่อมเป็นความไม่รู้ และ อกุศลต่างๆ ที่เกิดเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง

มงคลตื่นข่าว หมายถึง การเชื่อในเรื่องที่แตกตื่นกันไปเอง ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นมงคลโดยไม่มีเหตุผล ตัวอย่างในเรื่องของมงคลตื่นข่าวก็มีมากมายหลากหลายไปตามยุคสมัย ในสมัยพุทธกาล บางบุคคลเชื่อว่าการได้เห็นบางสิ่งบางอย่างในตอนเช้านั้นเป็นมงคล เช่น การเห็นนกนางแอ่นลม มะตูมอ่อน ปลาตะเพียน เป็นต้น พอมาถึงในสมัยปัจจุบัน บางบุคคลก็เชื่อว่าการได้เห็นหรือได้กราบไหว้ต้นไม้หรือสัตว์ที่มีลักษณะประหลาด นั้นเป็นมงคล มงคลตื่นข่าว จึงไม่ใช่มงคล ซึ่งมีความหลากหลายมากทีเดียว

สีลัพพตปรามาส คือ ความเห็นผิดในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด โดยคิดว่าด้วยข้อปฏิบัตินี้จะทำให้บริสุทธิ์ เป็นทางที่จะดับกิเลส เช่น การประพฤติอย่างสุนัข ประพฤติอย่างโค เป็นต้น กล่าวโดยสรุป คือ ข้อปฏิบัติใดที่ไม่ตรงกับอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสีลัพพตปรามาส สีลัพพตปรามาสจะต้องเป็นความเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติที่จะทำให้บริสุทธิ์เท่านั้น


ประเด็นที่จะต้องพิจารณาจากคำถาม คือ มงคลตื่นข่าวกับสีลัพพตปรามาส ถ้ามงคลตื่นข่าวประการนั้นๆ เกี่ยวเนื่องกับข้อวัตรปฏิบัติว่าเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ เพื่อความหลุดพ้น ก็เป็นสีลัพพตปรามาส ถ้าไม่ได้เกี่ยวกับการการคิดว่าจะทำให้ดับกิเลส จะทำให้ถึงความบริสุทธิ์ ก็เป็นเพียงมงคลตื่นข่าว ไม่ใช่สีลัพพตปรามาส ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทั้งการยึดถือในข้อวัตรปฏิบัติที่ผิดและการถือมงคลตื่นข่าว ก็ไม่ดีทั้งนั้น แสดงถึงความเป็นผู้ไม่มีที่พึ่งที่แท้จริง คือ ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง

อบรมเจริญความสงบของจิตจนได้ฌาน แล้วมีความเห็นว่า การอบรมเจริญความสงบของจิตได้ฌาน ว่าเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้พ้นจากทุกข์พ้นจากกิเลส การยึดถืออย่างนี้เกี่ยวข้องกับข้อวัตรปฏิบัติก็เป็นสีลัพพตปรามาส เพราะแท้ที่จริงแล้วหนทางแห่งความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสต้องอบรมเจริญมรรค ที่เริ่มต้นด้วยความเข้าใจถูก เห็นถูก

ความเป็นผู้หมกมุ่นอยู่ในกามเป็นไปกับด้วยความยึดถือที่ว่า เสพมากๆ หมกมุ่นมากๆ ก็จะทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ละคลายกิเลสไปเอง ในลักษณะอย่างนี้ ก็เกี่ยวข้องกับข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ก็ย่อมไม่พ้นไปจากสีลัพพตปรามาส

ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 1 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ตัวกระผมเป็นคนมีเชื้อสายจีน จึงได้มีการไปไหว้เชงเม้งที่สุสาน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นของคนจีน และก็จะมีศาลไหว้พระไหว้เซียนเทพยาดาองค์โพธิสัตว์ต่างๆ ของทางจีน ซึ่งเมื่อไปแล้ว ก็ทราบว่า พระพุทธรูปของทางจีนนั้น ไม่ใช่พระพุทธรูปซึ่งหมายถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่โดยมากก็หมายถึงพระอามิตพุทธของทางมหายาน แต่ก็ได้ไหว้โดยน้อมจิตถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและองค์เทพต่างๆ

ครั้งนี้แม้ไม่ได้ไหว้ แต่ในภายหน้า ก็อาจจะต้องไหว้ด้วยอาศัยเกรงใจในญาติผู้ใหญ่ที่เขานับถือทางนี้ ถ้าจะน้อมไหว้ด้วยอาศัยระลึกถึงกุศลของเทวดาแทนการไหว้เจาะจงบุคคลตัวเทพที่เป็นของจีน ที่ไม่ทราบว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ จะได้หรือเปล่า โดยประการที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าสรณคมขาดหรือด่างพร้อยหรือไม่ และเป็นศีลพรตปรามาสหรือไม่ ประการใดครับ"

การถึงสรณคม คือ ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง อันเกิดจากความเข้าใจพระธรรม ซึ่งสรณคมขาด ของปุถุชน ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ

-ประการแรก เพราะผู้นั้นได้ตาย เมื่อตาย ย่อมขาดจากการถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

-อีกประการหนึ่ง คือ เพราะ หันไปนับถือศาสนาอื่น ด้วยความเห็นชอบในศาสนา หรือ ความเห็นอื่น

ดังนั้น การที่ผู้ถามได้ไปไหว้รูปพระพุทธเจ้าที่นิกายอื่น สมมติว่าเป็นใครก็ตาม และตนเองก็ได้ไหว้ ด้วยการน้อมระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จิตขณะนั้น ไม่ได้มีความเห็นที่ไปเชื่อในศาสนาอื่นลัทธิอื่นที่ไม่ถูกต้อง แต่ ยังคงมีความเห็นคล้อยไปตามที่ถูก คือ จิตขณะนั้น ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าจริงๆ แม้แต่สมัยอดีตกาลเมื่อไม่มีพระพุทธรูป ดาบสผู้มีปัญญา ก็สร้างเจดีย์ทราย และก็กราบ และ น้อมระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็มีความเห็นที่คล้อยไปตามทางที่ถูก ผู้ถามก็มีความเห็นคล้อยไปในทางที่ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า สรณคม การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งก็ไม่ขาด เพราะจิตขณะนั้นไม่ได้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ในขณะนั้น ไม่ได้เห็นผิด และ ไปนับถือศาสนาอื่นเลย แม้จะไหว้ วัตถุที่สมมติว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่สมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้า ครับ และ ไม่ชื่อว่าด่างพร้อย เพราะความด่างพร้อยย่อมเกิดจากอกุศล มีความเห็นผิด แต่ขณะที่ไหว้ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า จิตเป็นกุศลในขณะนั้น ครับ

โดยนัยเดียวกัน การไหว้รูปปั้นที่สมมติว่าเป็นเซียน เทวดาอื่นๆ แต่เราไหว้เพื่อน้อมระลึกถึงคุณเทวดา มีระลึกถึง หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น ขณะนั้น กำลังนึกถึงคุณความดี ไม่ได้ระลึกถึงตัวบุคคล ตัวเซียน แต่กำลังชื่นชมในคุณความดี ขณะนั้นจิตเป็นกุศล จึงไม่ด่างพร้อย และ ไม่เป็นศีลพรตปรามาส เพราะ ศีลพรตปรามาส หมายถึง ข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ที่จะต้องมีความเห็นว่าข้อนั้นจะทำให้ถึงการดับทุกข์ แต่การไหว้และระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า และระลึกถึงคุณความดีของเทวดา ไม่ได้เกิดข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด ที่จะทำให้พ้นทุกข์ ครับ จึงไม่ใช่ ศีลพรตปรามาส ครับ


สำหรับคำอธิบาย คำว่า มงคล กับ ศีลพรตปรามาส ผู้ถามได้อธิบายถูกต้องแล้ว ซึ่งเราจะต้องเข้าใจความละเอียดของความเห็นผิดว่ามีหลากหลายนัย หลายระดับ ซึ่ง ความเห็นผิด ที่เป็นความเห็นผิดโดยทั่วไป ที่เห็นผิดว่า มีเรา มีสัตว์ บุคคล ความเห็นผิดที่สำคัญว่า กรรมไม่มี ผลของกรรมไม่มี ซึ่ง ความเห็นทั้งสองอย่าง ไม่ใช่ความเห็นผิดที่คิดว่า เป็นข้อวัตรปฏิบัติที่จะทำให้หลุดพ้น คือ ไม่ใช่ ศีลพรตปรามาส แต่ก็เป็นความเห็นผิด เพราะฉะนั้น มงคลตื่นข่าว ที่ทำเพราะมีความเข้าใจผิด เห็นผิด ก็ได้ เพราะไม่เชื่อกรรม และผลของกรรม จึงกระทำด้วยความคิดเหล่านั้น อันเป็นมงคลตื่นข่าว ซึ่งไม่นำมาซึ่งความเจริญ

จึงกลับมาที่คำถามที่ว่า ซึ่ง มงคล ถ้าใช้คำว่า มงคลตื่นข่าว จะยังไม่ใช่ ศีลพรตปรามาส ใช่ไหมครับ?

มงคลตื่นข่าว ไม่จำเป็นจะต้องเป็นศีลพรตปรามาสตามที่กล่าวมา เพราะความห็นผิดมีหลากหลายนัย คือ ความเห็นผิดที่ไม่ได้มีความเห็นที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นก็ได้ ครับ


"อีกคำถามครับ อัตถิกิลมถานุโยค หรือการบำเพ็ญทุกขกิริยา โดยคิดว่าจะบรรลุมรรคผล หรือแม้การจะไปนั่งสมาธิของบุคคลในยุคนี้ แล้วคิดว่าจะบรรลุมรรคผล หรือ แม้การกระทำฌาณของดาบส และอัญเดียรถีย์ในสมัยพุทธกาล แม้บรรลุถึงอรูปฌาณขั้นสูงสุด ขณะที่กระทำฌาณนั้นก็เป็นกุศลญาณสัมปยุตต์จริง แต่ถ้าเห็นว่า ฌาณที่ตนได้นั่นแหละ คือการบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว ก็คือศีลพรตปรามาสทั้งหมด ใช่ไหมครับ"

ศีลพรตปรามาส คือ ข้อวัตรข้อปฏิบัติที่ผิด ที่สำคัญว่าจะทำให้หลุดพ้น ซึ่ง การไปนั่งสมาธิ การไปทรมานตน ด้วยสำคัญว่า จะทำให้ละกิเลสได้ หลุดพ้น อย่างนี้ก็เป็นศีลพรตปรามาสแน่นอน ครับ ส่วนการเจริญฌานในสมัยอดีตจนได้ฌานสูงสุด และ สำคัญว่า การเจริญฌานนั้นทำให้หลุดพ้นแล้ว ก็เป็นศีลพรตปรามาส ขณะที่ได้ฌาน ไม่ใช่ ศีลพรตปรามาส แต่ ขณะที่มีความเห็นว่าฌานนั้นเป็นทางหลุดพ้นเป็นศีลพรตปรามาส จึงเป็นจิตแต่ละขณะกัน แต่ การเจริญฌาน ที่เพื่อเป็นไปในบารมีในการดับกิเลสในอนาคต ดังเช่น


"แล้ว กามสุขาลิกานุโยค ชื่อว่าเป็นศีลพรตปรามาสด้วยไหมครับ?"

หากสำคัญว่า การเสพสุข มีความสุขในการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสที่ดีมากๆ ทำให้หลุดพ้น ก็เป็นศีลพรตปรามาส แต่ว่า ถ้า เสพความสุขใน การเห็น ได้ยิน ..การรู้กระทบสัมผัสที่ดีในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ได้มีความเห็นว่าเป็นทางหลุดพ้น เหมือนใช้ชีวิตทั่วไป ก็ไม่ใช่ศีลพรตปรามาส ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
นิรมิต
วันที่ 1 เม.ย. 2556

กราบขอบพระคุณท่านวิทยากรทั้งสองเป็นอย่างสูง และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 1 เม.ย. 2556

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
natural
วันที่ 1 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 26 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 9 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ