ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๘๕

 
khampan.a
วันที่  7 เม.ย. 2556
หมายเลข  22733
อ่าน  1,398

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๕]

--- พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้อย่างละเอียดทีเดียว ไม่ใช่พระองค์ทรงรู้แจ้งแต่ ธรรมขั้นสูงที่เป็นโลกุตตระ แต่ไม่ว่าจิตใจของใคร จะมีความรู้สึก มีกิเลสมากน้อย หนาแน่นเบาบางสักเท่าไร เป็นไปเพราะเหตุใด พระผู้มีพระภาคทรงรู้แจ้ง และทรง แสดงธรรมไว้ เพื่อให้มีการขัดเกลากิเลสให้มาก แม้ว่าจะเป็นการดูหมิ่นเพราะว่าคุ้น เคยกัน เพราะสนิทสนมกัน เพราะอยู่ร่วมกัน นั่นก็เป็นธรรมที่เป็นอกุศลที่ไม่ควรจะให้ เกิดขึ้น เพราะว่าธรรมที่เป็นกุศลนั้น คือการนอบน้อม การแสดงความเคารพ ไม่ใช่การดูหมิ่น

--- ท่านที่ใคร่ธรรม คือ ท่านที่ไม่ละเลยการที่จะฟังธรรม พิจารณาธรรมใคร่ครวญ ศึกษาค้นคว้าเทียบเคียงด้วย อย่าเพียงแต่ฟังแล้วเชื่อ ไม่ว่าท่านผู้ใด จะกล่าว ธรรมใดก็ตาม เมื่อฟังแล้วควรพิจารณา แล้วก็สอบทานกับพระวินัยด้วย อย่าให้ ต่างคนต่างคิดว่าพระธรรมวินัยนั้นมีมากเหลือเกิน เรียนไม่ไหว ไม่มีเวลาพอที่จะศึกษา ค้นคว้า แต่ขอให้เราทุกคนคิดว่า แต่ละคนควรจะช่วยกันศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อ จะให้เข้าใจธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่จะกล่าวว่าข้อความนั้นผิด ก็ควรที่ จะอ้างด้วยว่าผิดจากข้อใด ตอนใด ในพระวินัย ในพระสูตร หรือในพระอภิธรรม ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวเฉยๆ ว่าผิด หรือกล่าวเฉยๆ ว่าถูก แต่ควรจะมีข้อเทียบเคียง พิสูจน์พิจารณาอ้างอิง พร้อมทั้งเหตุผลด้วยว่าผิดกับข้อความใด ถูกหรือตรงกับ ข้อความใดด้วย

--- สิ่งใดที่จะไม่เป็นประโยชน์ต่อพระรัตนตรัย จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ความเห็นผิด ก็ต้องเป็นผู้ตรงที่จะไม่ส่งเสริม

การถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์เป็นสรณะ ไม่ใช่

การขอ แต่ว่าเป็นการที่จะถึงโดยการศึกษาและเข้าใจพระธรรม แล้วประพฤติปฏิบัติ

ตาม เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เพื่อที่

จะให้สัตว์โลกผู้ที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

ได้ศึกษา ได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้อบรมจนกระทั่งที่จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แล้วดับ

กิเลสเป็นสมุจเฉทได้

มีใครที่นับถือพระเครื่องสักเท่าไร คนนั้นก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

และไม่ใช่ว่าจะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง เพราะเหตุว่าถ้าพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ก็คือการที่

จะไม่ต้องเกิดอีก ไม่ต้องแก่ เมื่อไม่เกิด ก็ไม่แก่ แล้วก็ไม่เจ็บ แล้วก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อน

ที่จะต้องมาขอพระเครื่อง หรือว่าคิดให้พระเครื่องช่วย ซึ่งความจริงแล้ว ถ้ามีความรู้

ลักษณะของสภาพธรรม เป็นผู้ที่มีปัญญา จะเข้าใจว่า ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุ

ปัจจัยทั้งสิ้น

คำที่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเก็บไว้ทำไม ถ้าตั้งใจจะฟังพระธรรม

จริงๆ ต้องทิ้งคำที่เคยฟังอันไม่เป็นไปเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มี่จริง แล้วเริ่มฟังพระธรรม

ให้เข้าใจจริงๆ ด้วยความตั้งใจ

เวลาที่ได้รับอกุศลวิบาก ก็ต้องรู้ว่า ไม่ใช่คนอื่นทำให้เลย แล้วจะโกรธใคร

ในเมื่อรู้ว่าต้องเป็นกรรมของท่านเองเท่านั้นที่ให้ผลเช่นนั้นเกิดขึ้น

ถ้าจิต เกิด เจตสิก เกิด สัตว์โลก จึงมี แต่ถ้าจิตไม่เกิด เจตสิกไม่เกิด สัตว์โลก

ก็ไม่มี

ขณะนี้ ไม่มีเรา ไม่มีใคร ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้น

เกิดมาเพื่อฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณา ไตร่ตรองพระธรรม เพื่อเข้าใจ

ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งสิ่งที่มีจริงๆ นั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และ

ทรงแสดง

เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะรู้ได้ว่า

อะไรจริง อะไรไม่จริง

เห็น เกิดเพราะเหตุปัจจัย บังคับบัญชาให้เห็นเกิดขึ้น ไม่ได้ สภาพธรรมอื่นๆ

ก็เช่นเดียวกัน

ฟังพระธรรมเข้าใจ ก็จะมั่นคงยิ่งขึ้นว่า ธรรม มีจริงๆ และก็ไม่ใช่มีเพียงสิ่งเดียว

แต่มีมากมาย มีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส โกรธ ติดข้อง เป็นต้น เป็นจริงแต่ละ

หนึ่ง ไม่มีเราเลย

คนที่ไม่รู้ มีมาก ส่วนผู้ที่รู้ มีเป็นส่วนน้อย ความรู้จะเจริญขึ้นได้อย่างไร

ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา

เลิกฟังพระธรรมเมื่อไหร่ ไม่ฟังพระธรรมเมื่อไหร่ อกุศลก็เกิดขึ้นแล้ว

ขณะที่ไม่รู้ ก็เป็นอกุศลแล้ว ยังมีความไม่รู้ แล้วก็ไม่เริ่มสะสมความรู้ ก็จะเป็น

ผู้มีความไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ความเห็นผิดจะลดคลายลง ไม่ได้

อยู่ภายใต้หลังคาของกิเลสมานานแสนนาน พร้อมทั้งถูกฉาบทาไว้ด้วยอวิชชา

และตัณหาเป็นต้น จึงทำให้ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏใน

ขณะนี้

กิเลสทั้งหลาย ผูกไว้ คล้องไว้ ร้อยไว้ ไม่ให้รู้ความจริงของสภาพธรรมใน

ขณะนี้ แต่จะรู้ได้ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญา

เบิกบาน ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม

สะสมอกุศลอย่างไม่ว่างเว้น จนกว่ากุศลจะเกิด ซึ่งจะเห็นได้ว่าวันหนึ่งๆ

อกุศลมีมากมายทีเดียว

อกุศล ไม่มีอะไรดีเลยแม้แต่อย่างเดียว

สิ่งที่ตั้งจิตไว้ถูก คือ เจตสิกธรรมฝ่ายดี

หน้าที่หนึ่งที่ไม่ควรลืม คือ ฟังให้เข้าใจขึ้นว่าเป็นธรรม

ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจ นี้คือ จุดประสงค์ที่ถูกต้องของการศึกษา

พระธรรม

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๘๔ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๘๔

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 7 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ

- พระพุทธศาสนาเป็นคำสอน ให้ผู้ที่ฟังนะคะ เกิดความเข้าใจของตนเอง

ทุกคำ อย่างคนที่คิดว่าจะละชั่ว จะทำดี ด้วยความเป็นเรา หรือว่า ด้วยปัญญา

นี่ก็ต่างกันแล้วใช่ไหม ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นปัญญาที่ทำให้

เห็นถูกต้องว่าเป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่การสะสม แต่

ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้ ก็พากเพียรที่จะละชั่ว แล้วก็ทำดี ด้วยความเป็นเรา สำเร็จ

ไหมคะ? เพราะดีเท่าไรก็ยังไม่พอ จนกว่าจะหมดกิเลส

- เวลาโลภะเกิด ก็ไม่เป็นไร โทสะเกิดก็ไม่เป็นไร แล้วเข้าใจโลภะขณะนั้นหรือ

เปล่า? ที่ว่า ไม่เป็นไรๆ เพราะไม่รู้ลักษณะของโลภะ หรือไม่เป็นเราเพราะเป็นธรรม

(ถ้า) ไม่เป็นไรด้วยความเป็นเรา ไม่เป็นไร แต่ไม่รู้ลักษณะของโลภะเป็นทาสของ

โลภะ อยากเป็นอิสระไหมคะ? มีคนบอกว่าไม่อยากอิสสระจากโลภะ ตั้งแต่เช้ามา

นี่โลภะนำไปทั้งนั้นเลย ขณะใดที่เป็นกุศลก็เป็นฉันทะ ไม่ใช่โลภะ แต่ก็ยังเป็นมูลให้

ชีวิตของแต่ละคน ดำเนินไปเป็นไปตามการสะสมของความพอใจนั้นๆ เมื่อไรเป็น

อิสระจริงๆ ? ลองคิดดูนะคะ ชอบ กับ ไม่ต้องเป็นทาสของความพอใจเลย อิสระจริงๆ

อิสระ ไม่มีความติดข้องในสิ่งนั้นเลย เป็นได้เมื่อเป็นพระอนาคามีบุคคล

- เพราะฉะนั้นไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ฟังแล้วมีความเข้าใจขึ้นว่าสิ่งที่มีจริงที่กำลัง

ปรากฏขณะนี้เกิดแล้วเป็นอย่างนี้ ตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ไม่มีใครสามารถจะบังคับ

บัญชาได้ เพียงให้ระลึกได้ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะปรากฏทางตา ทางหูก็ปรากฏแล้วก็

หมดไปเลยไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่มีปัจจัยที่ทำให้มีสิ่งนั้นเกิดแล้วก็ดับไป ตลอด

หมดทุกขณะเป็นอย่างนี้ " ฟัง " ไม่ได้ให้ทำอะไรนี่ค่ะ แต่ให้รู้ความจริงของสิ่งที่มี

ปัจจัยเกิดแล้ว กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ มิฉะนั้นก็ยังคงมีตัวตน ที่คิด ที่จะทำ หรือว่า

อยากที่จะทำให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่มีความเข้าใจ ในสิ่งที่เกิดแล้ว

ในขณะนี้ที่กำลังปรากฏ

- คบ คือ ไปไหนมาไหนด้วย สนิทสนมคุ้นเคย นั่นคือคบ แต่เมตตา ขณะนั้นไม่มี

ความหวังร้าย ไม่ว่าเขาจะเป็นใครไม่ทำร้ายคนอื่น แม้ด้วยกายวาจาและใจ นั่นคือ

ขณะที่เมตตาควรจะทั่วๆ ไปกับทุกคน หรือว่าควรจะจำกัด

- เพราะฉะนั้น ทุกคนที่มาฟังนี้ หวังว่าเราจะเข้าใจขึ้นแน่ๆ เลยแต่ว่าจะเมื่อไร

บอกได้ไหมว่า วันไหน สังขารขันธ์จะปรุงแต่งนี่เป็นเหตุที่ แม้แต่สติปัฎฐาน เพียง

การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฎเพียงเล็กน้อย คนนั้นจะไม่รู้เลยว่าจาก

การที่สติปัฎฐานเกิดรู้ลักษณะของสภาพธรรมไม่มากนิดๆ หน่อยๆ แต่จากการฟัง

ค่อยๆ เข้าใจขึ้นนี้เป็นการปรุงแต่ง เมื่อมีการระลึกอีก ก็เข้าใจเพิ่มขึ้นอีกมาจากไหน

ความเข้าใจลักษณะของแข็ง ซึ่งครั้งแรกที่กระทบก็เพียงแข็ง แต่ว่าต่อไป แม้ว่า

กระทบแข็งๆ ก็ยังคงเป็นแข็ง แต่ความเข้าใจแข็ง ด้วยการเข้าใจถูกจะทำให้รู้ว่า

ขณะนั้นไม่มีอย่างอื่นเลย ค่อยๆ สั่งสม สังขารขันธ์ซึ่งจะไม่รู้เลยจากการฟังแล้วฟัง

อีกนี้ ถึงเวลาที่ปัญญาจะเกิดขึ้น ก็เกิดโดยที่ไม่รู้มาล่วงหน้า คุณชมชื่นปลูกต้นไม้

ซึ่งมีดอกบ้างไหมค่ะ รู้ไหมว่า เมื่อไรจะออกดอก

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 7 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เข้าใจ
วันที่ 7 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณ และกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
บรรพต
วันที่ 7 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
rrebs10576
วันที่ 8 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 8 เม.ย. 2556

การถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมและพระอริยสงฆ์เป็นสรณะ ไม่ใช่

การขอ แต่ว่าเป็นการที่จะถึงโดยการศึกษาและเข้าใจพระธรรม แล้วประพฤติปฏิบัติ

ตาม เพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เพื่อที่

จะให้สัตว์โลกผู้ที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม

ได้ศึกษา ได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้อบรมจนกระทั่งที่จะสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม แล้วดับ

กิเลสเป็นสมุจเฉทได้

กิเลสทั้งหลาย ผูกไว้ คล้องไว้ ร้อยไว้ ไม่ให้รู้ความจริงของสภาพธรรมใน

ขณะนี้ แต่จะรู้ได้ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญา

- พระพุทธศาสนาเป็นคำสอน ให้ผู้ที่ฟังนะคะ เกิดความเข้าใจของตนเอง

ทุกคำ อย่างคนที่คิดว่าจะละชั่ว จะทำดี ด้วยความเป็นเรา หรือว่า ด้วยปัญญา

นี่ก็ต่างกันแล้วใช่ไหม ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา เป็นปัญญาที่ทำให้

เห็นถูกต้องว่าเป็นสภาพธรรมที่ต่างกัน บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่การสะสม แต่

ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้ ก็พากเพียรที่จะละชั่ว แล้วก็ทำดี ด้วยความเป็นเรา สำเร็จ

ไหมคะ? เพราะดีเท่าไรก็ยังไม่พอ จนกว่าจะหมดกิเลส

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.เผดิม อย่างยิ่งค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 8 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kinder
วันที่ 8 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 9 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 10 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nong
วันที่ 11 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
boonpoj
วันที่ 13 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
natural
วันที่ 14 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Wisaka
วันที่ 25 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.เผดิม และทุกๆ ท่าน

ที่แบ่งปันธรรม ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
orawan.c
วันที่ 8 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ