วิปัสสนาธุระคือทางลัดใช่หรือไม่

 
samroang69
วันที่  17 เม.ย. 2556
หมายเลข  22768
อ่าน  4,414

ขอรบกวนถามเรื่องวิปัสสนาธุระ ว่าจริงๆ แล้วเหมาะกับบุคคลประเภทใด ดูตัวอย่างจากเรื่องปลากปิละที่เคยบวชเรียนคันถธุระโดยไม่เอาวิปัสสนาธุระ ก็จะเห็นได้ว่า คันถธุระมีความสำคัญน้อยกว่าวิปัสสนาธุระ งั้นก็แสดงให้เห็นว่าเราสามารถที่จะถือเอาธุระอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ใช่หรือไม่

สำหรับคันถธุระนั้นเป็นของสำหรับผู้ที่มีสมองดีและจำเก่ง แต่สำหรับวิปัสสนาธุระนั้นเรียนเพื่อเอาความเข้าใจในสภาพธรรมที่ปรากฎในปัจจุบัน อยากทราบว่าเป็นความเข้าใจถูกหรือไม่ที่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งได้ทุกคน หรือได้เฉพาะเพียงบางคนที่มีปัญญามาก (หมายถึง ที่สั่งสมเรื่องปัญญามามากในอดีต) เท่านั้นครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นขอทราบขอบข่าย ของการศึกษาวิปัสสนาธุระก็คงจะเป็นทางลัดไม่ใช่ทางอ้อมเหมือนคันถธุระ ใช่หรือไม่ครับ

ขอบคุณ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คันถธุระ ก็คือ ปริยัติธรรม ที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วน วิปัสสนาธุระ ก็คือ ขณะที่สติปัฏฐานเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรม ที่เรียกว่าปฏิบัติ คันถธุระจึงเป็นปริยัติ วิปัสสนาธุระเป็นปฏิบัติ

ซึ่งหากไม่มีปริยัติ ไม่มีการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่เป็นคันถธุระ ก็ไม่สามารถที่จะถึงการปฏิบัติที่เป็นวิปัสสนาธุระได้เลย เพราะฉะนั้นอาศัยปริยัติ จึงเกิดการปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ธรรมจึงเกี่ยวข้องกันสัมพันธ์กัน ไม่ใช่การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้ อย่างพระภิกษุที่ท่านอบรมวิปัสสนาธุระ หรือ ใครก็ตามที่จะปฏิบัติ ก็จะต้องมีปริยัติ คือ ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาก่อน ครับ

สาวก คือ ผู้สำเร็จได้จากการฟัง ฟังอะไร คือ ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ เพื่ออะไร เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าการศึกษาต้องเป็นไปตามลำดับ คือ เริ่มจากความเข้าใจที่ถูกต้องคือปริยัติ เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ย่อมนำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติที่ถูกต้องก็ย่อมนำไปสู่ปฏิเวธการบรรลุธรรม ดังนั้นจึงเป็นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่งปริยัติและปฏิบัติไม่ได้แยกจากกัน คือ เกี่ยวเนื่องกันไปครับ ถ้าไม่เข้าใจขั้นการฟัง จะปฏิบัติถูกไม่ได้เลยครับ แต่เพราะอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ขณะที่เข้าใจในขณะที่ศึกษา ในขณะที่ฟัง ขณะนั้น ปัญญาก็ค่อยๆ เจริญแล้ว จนถึงปัญญาที่รู้ความจริงในขณะนี้ ขณะนั้นก็เป็นปฏิบัติ ใครปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติ คือ ปัญญาเกิดรู้ความจริงนั่นเอง อันอาศัยปริยัติคือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ดังนั้นเพราะอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมก็ย่อมทำให้เข้าใจว่าปฏิบัติคืออะไร เพราะถ้าไม่ศึกษาจากพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง จะเข้าใจได้อย่างไรว่าปฏิบัติคืออะไร คำพูดใดของบุคคลใดถูกหรือผิด แม้แต่คำว่าปฏิบัติ ก็เข้าใจเป็นการทำอะไรซักอย่าง ที่ยุคสมัยนี้เข้าใจว่าคือการทำ การนั่งสมาธิคือการปฏิบัติ แต่ในความจริงแล้ว คำว่า ปฏิบัติ แปลความหมายแล้ว หมายถึง การถึงเฉพาะ ถึงเฉพาะซึ่งสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ครับ

ดังนั้น ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระจึงเกี่ยวเนื่องกันไป เพราะผู้ที่ศึกษาพระธรรมถูกต้อง จริงๆ คือ เพื่อเข้าใจความจริงในสภาพธรรมในขณะนี้ ไม่ใช่เพื่อทรงจำธรรมไว้เพื่อเรียน เพื่อจุดประสงค์อื่น ย่อมถึงวิปัสสนาธุระได้ เพราะฉะนั้น จะกล่าวได้ว่า ไม่มีทางลัดสำหรับพระพุทธศาสนา มีแต่ทางอบรมปัญญาโดยเริ่มจากการฟัง ศึกษาพระธรรมด้วยจุดประสงค์ที่ถูกต้อง ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
j.jim
วันที่ 17 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ใฝ่รู้
วันที่ 17 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Guest
วันที่ 17 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ

ทางลัดไม่มีในพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่ามี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องทรงแสดง แต่ความจริงไม่มี เพราะเหตุว่า ทางลัดเป็นทางแห่งความไม่รู้ เป็นทางแห่งความเห็นผิด ไม่ใช่หนทางแห่งปัญญา

พระพุทธศาสนา เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด จนออกจากสังสารวัฏฏ์ดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ถ้าหากว่าไม่มีการฟังพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรม ก็ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรมย่อมไม่ขาดการฟังพระธรรม ซึ่งเป็นปริยัติธรรม ซึ่งเป็นพระพุทธพจน์ เป็นวาจาสัจจะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าไปทำอย่างอื่น หนทางอื่นย่อมไม่สามารถทำให้ปัญญาเจริญขึ้นได้เลย

เพราะฉะนั้นแล้ว การศึกษาตามหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ เจ้านั้น ต้องเป็นไปตามลำดับ กล่าวคือ ผู้ศึกษาต้องฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธ องค์ก่อน ซึ่งเป็นการศึกษาในขั้นของปริยัติ เมื่อฟังเข้าใจแล้วจึงน้อมประพฤติปฏิบัติตามคำสอน (ซึ่งไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติ แต่เป็นธรรมปฏิบัติหน้าที่ของธรรม คือ สติและปัญญาเกิดขึ้น ระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ) เมื่อปฏิบัติตามคำสอน จึงจะมีผลคือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมละกิเลสได้ตามลำดับขั้น การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการปฏิบัติอย่างถูกต้อง และการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะมีไม่ได้ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถูกต้อง ดังนั้น จึงสำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นจริงๆ ความเข้าใจถูกเห็นถูกจะมีมากได้ ก็ต้องอาศัยการสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ที่สำคัญที่สุด ไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ

ขอกราบอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ ...

ทางลัด ไม่มี

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 17 เม.ย. 2556

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพื่อโปรดเวยไนยสัตว์ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นตัวแทนของพระองค์ ปุถุชนต้องอาศัยการศึกษา การฟังพระธรรม อาศัยการอบรม ปัญญาจึงจะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์ตามลำดับจนถึงวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑๖ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
boonpoj
วันที่ 17 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nopwong
วันที่ 18 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nong
วันที่ 19 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 7 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ