ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ๑๓ เมษายน ๒๕๕๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  20 เม.ย. 2556
หมายเลข  22780
อ่าน  2,275

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญให้ไปสนทนาธรรม ที่ บ้านคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ซึ่งพี่หมอทวีปได้ขอโอกาสจากท่านอาจารย์ จัดการสนทนาธรรมที่บ้านอยู่เป็นประจำ และ เช่นเคยที่พี่หมอได้เตรียมอาหารไว้ต้อนรับสหายธรรมอย่างมากมายหลายชนิด ทั้งเช้าและกลางวัน พี่หมอเป็นคนชอบทำอาหาร และชอบที่จะไปจ่ายตลาดเอง เลือกแต่ของดีๆ มาปรุงเองกับมือ ด้วยความประณีตบรรจงอย่างยื่ง

ครั้งนี้ พี่หมอทำข้าวต้มปลาหม้อใหญ่มีเนื้อปลาเป็นก้อนๆ เช่นเคย มีกระเพาะปลาแสนอร่อย เมี่ยงคำกับชะพลูใบโตเป็นสิ่งไม่เคยขาดเลย ทุกอย่างทำเอง ที่สำคัญ หลังทำข้าวต้มเสร็จ พี่หมอก็ตั้งกระทะ เริ่มลงมือทำหอยทอดตั้งแต่เช้าเลย หอยทอดบ้านพี่หมอทวีป คือเมนูโปรดที่ทุกคนรอคอยจะได้รับประทาน

นอกจากนี้ คุณทิพย์ยังเตรียมมะม่วงน้ำปลาหวานที่คุณทิพย์ลงมือทำเองใส่กุ้งแห้งเยอะ อร่อยมากครับ คุณทิพย์ยังแบ่งให้กลับบ้านมาด้วย พร้อมมะม่วงลูกโตมากจริงๆ ฝานใส่จานได้เต็มจาน พอได้รับแขกที่เป็นเพื่อนๆ พาลูกๆ มาเล่นน้ำสงกรานต์ที่บ้าน นอกจากนี้ ยังทราบว่าพี่อรวรรณ คุณใหม่ น้องโหน่ง ที่มาอยู่ช่วยพี่หมอเตรียมงานก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน ทั้งยังจัดดอกไม้ได้สวยงามมากครับ ขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ

ก่อนเริ่มการสนทนาธรรม พี่หมอกราบขออนุญาตจากท่านอาจารย์ เพื่อเป็นตัวแทนของสหายธรรม กราบรดน้ำท่านอาจารย์เนื่องในโอกาสวันสงกรานต์ และ เริ่มการสนทนาธรรม ซึ่งจะอนุญาตนำความบางตอนที่ท่านอาจารย์สนทนาช่วงบ่ายมาฝากให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณา ครับ

ท่านอาจารย์ ความหลากหลายของธรรมะ แต่ละหนึ่ง อย่างเห็น เกิดขึ้นแต่ละครั้ง เปลี่ยนไม่ได้ จริงไหม? แต่สิ่งที่กระทบตา แล้วเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็ไม่ใช่ "หนึ่ง" เก่า ต้องเป็น "หนึ่ง" ใหม่ เหมือนเสียง ทุกคนก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏจริง เมื่อได้ยิน แต่เสียง ก็ไม่ใช่เสียงเก่า แล้วก็หลากหลายด้วย เป็นเสียงเบาบ้าง เสียงดังบ้าง

เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง แม้ว่าเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น แต่ก็ ว่างเปล่า เพราะเหตุว่า เพียงปรากฏ แล้วก็หมดไป ตรงกับคำที่ทรงแสดงความหมายของคำว่า "ขันธ์" ขัน-ธะ , ขัน-ดะ ภาษาไทย ภาษาบาลีออกเสียงอย่างไรคะ?

คุณคำปั่น คนไทยก็ออกเสียงว่า ขัน-ธะ ในรูปของภาษาบาลีแบบไทยๆ แต่ว่าจริงๆ ก็ออก (เสียง) ตามที่ท่านอาจารย์กล่าวเมื่อสักครู่ ว่าเป็น ขัน-ดะ ครับ

ท่านอาจารย์ นิดๆ หน่อยๆ อย่างนี้ ก็เป็นความรู้ พอสมควรที่ว่า เวลาพูดธรรมะกับคนอื่น ที่เขาใช้คำไม่ตรงตามภาษาบาลี จะรู้ว่า ต่างกับเรา เพราะเราก็พูด ตามความเคยชิน ให้เข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ภาษาไทย ที่ใช้คำว่า ขัน-ธะ หรือ ขัน-ดะ ก็เพราะเหตุว่า เพียงเกิด ปรากฏว่ามี แล้วก็ไม่เหลือเลย มีแล้วกลับไม่มี จากไม่มี แล้วก็เกิดขึ้นมี แล้วก็หามีไม่ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น แม้ว่าขณะนี้ ความจริงเป็นอย่างนี้ ใครหมดกิเลส? ไม่หมด เพียงรู้ กว่าที่ได้ยินคำอย่างนี้ จะค่อยๆ มั่นคงขึ้น เพราะว่า จริงๆ แล้ว จิต เป็นสภาพที่มองไม่เห็น แต่ว่า ความละเอียด ลึกล้ำของจิต ใครจะรู้ว่า เพียงหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดแล้วดับ แต่สิ่งที่เกิดแล้ว เมื่อเป็นกุศลและอกุศล สภาพธรรมะที่ดี ไม่ดี อย่างไรก็ตาม ก็ สะสม เก็บไว้ ในจิต

ไม่มีรูปร่าง ประตู หน้าต่าง ฝา ก็ไม่มี แต่ "เก็บ" สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ได้กระจัดกระจาย หายไปไหนเลย ยังคงอยู่ครบ นานแสนนานมาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเป็นกบ เป็นคนพิการ เป็นคนฉลาดหรือไม่ฉลาด อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแล้ว ทั้งหมด สะสมอยู่ในจิต เพราะฉะนั้น อะไร? จะทำให้สามารถรู้จิตได้? ไม่มีทางเลย นอกจากสิ่งหนึ่ง สิ่งใดก็ตาม เกิดขึ้นพร้อมจิตขณะนั้น ก็จะรู้ว่า จิตนั้น สะสมอะไรมาบ้าง

เช่น โกรธ เกิดขึ้น โกรธ จะไปเกิดกับต้นไม้ใบหญ้าไม่ได้เลย เฉพาะที่ใดที่มีจิต ธาตุรู้ แล้วก็ ความขุ่นเคือง ความไม่พอใจ ก็ไม่ได้เกิดนอกไปจากจิต อยู่กับจิต อยู่ในจิต เพราะเหตุว่า ขณะนั้น มีปัจจัย ที่จะทำให้ความโกรธ เกิดขึ้น ความโกรธนั้น ไม่ว่าเราจะสะสมมานาน แสนนาน มากสักเท่าไหร่ ก็ออกมาในรูปลักษณะ ที่ทำให้รู้ ความโกรธในระดับนี้ ว่าเป็นความโกรธ แค่ไหน? โกรธแบบไหน? โกรธแบบขุ่นใจ หรือว่า แบบน้อยใจ หรือว่า เสียใจ หรือว่า ผิดหวัง? สารพัดอย่าง แล้วแต่ว่า ขณะนั้น เป็นอะไร?เกินกว่าที่ใครจะบรรยาย หรือบอกได้

เพราะเหตุว่า เกิดเป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป แต่มีจริงๆ ชั่วคราว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย นี่คือ สัจจธรรม เป็นอย่างนี้ มานานแสนนาน เพราะฉะนั้น จากชาติก่อน มาเป็นคนนี้ ชาตินี้ ก็ไม่รู้ว่า ชาติก่อน ทำอะไรไว้? แค่ไหน? ชาติหน้า จะรู้ไหมว่า เรานั่งอยู่ตรงนี้ ณ กาลครั้งหนึ่ง แล้วก็ได้สนทนาธรรม พบใครบ้าง? ไม่มีเลย เมื่อถึงชาติหน้า ก็ลืมหมด

เหมือนชาติก่อน เป็นใคร? อยู่ที่ไหน? ก็ไม่รู้เลย สักนิดเดียว แต่สิ่งที่สะสมมาแล้ว ที่เก็บไว้แล้ว ก็จะปรุงแต่ง หมายความว่า เป็นปัจจัย ที่จะทำให้สภาพธรรมะ ที่จะเกิดในชาตินั้น เป็นไปตามปัจจัย ที่ได้สะสมมา ถ้ารู้อย่างนี้ เกิดแล้วต้องตาย จะสะสมคุณความดีไหม?

เพราะเหตุว่า ถ้าเรามีแต่โลภะ ความติดข้อง เพราะความไม่รู้ ความโกรธ และ กิเลส มากมายหลายอย่าง นึกออกไหม? ชาติหน้าจะเป็นคนชนิดไหน? แย่มากๆ ใครจะชอบบ้าง? ไม่มีใครอยากเห็นหน้าด้วยซ้ำไป เกิดมา ก็มีแต่หน้าบึ้ง หน้างอ ทั้งวัน แล้วจะเป็นอย่างไร? แสดงให้เห็นว่า อกุศล ไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ว่า เอาออกไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญญา

ไม่มีใคร สามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่ว่า บุญ ที่ได้ทำไว้แล้ว แต่ปางก่อน ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่ชาติหน้า ถ้ามีโอกาสได้ฟังอีก ก็รู้ได้เลย ระลึกไม่ได้ จริง แต่การฟังและเข้าใจเดี๋ยวนี้ ก็จะติดตามไป ทำให้มีโอกาสได้ฟังอีก แล้วก็ได้เข้าใจอีก เพราะฉะนั้น ธรรมะ แม้มีเดียวนี้ ก็เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งเพราะเหตุว่า เป็นนามธาตุ มองไม่เห็น สะสมมา ก็ไม่รู้ว่าสะสมอะไรมาบ้าง แต่เวลาอะไรเกิดขึ้น รู้เลยว่า ถ้าไม่มีสิ่งนั้น สะสมมา ก็เกิดเป็นอย่างนั้น ไม่ได้

เพราะฉะนั้น แต่ละคน ก็เป็นแต่ละหนึ่ง จริงๆ ลองคิดดูว่า ก่อนได้ฟังธรรมะ เรามีปัญญาที่จะรู้ไหม? ว่านี่ ชั่วคราว "เห็น" ก็ชั่วคราว "ได้ยิน" ก็ชั่วคราว ทุกอย่าง "ชั่วคราว" บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่เคยรู้มาก่อนเลย สักนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นประโยชน์ว่า การที่มีโอกาสได้ฟัง ไม่ใช่โอกาสที่หาง่ายๆ เกิดมาแล้ว จะได้ฟังอีกเท่าไหร่ ก็ไม่รู้ แค่เย็นนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ว่า สิ่งที่จะตืดตามไปในจิตแต่ละหนึ่งขณะ ตามไป

ถ้าชาตินี้ ไม่ได้ฟังธรรมะเลย สะสมอะไร? อกุศลไว้มาก โลภะก็มาก ติดข้องไปทุกขณะที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง โทสะก็เยอะ ความไม่รู้ ไม่ต้องพูดถึง มีอยู่เป็นประจำ ทุกขณะ ที่อกุศลเกิดขึ้น สภาพธรรมะที่ไม่ดีเกิดขึ้น เพราะ ความไม่รู้ ถ้ารู้ จะไม่ดีหรือ? เป็นไปไม่ได้เลย ถ้ารู้แล้ว ต้องดี ทุกสิ่งทุกอย่าง ปัญญา สามารถที่จะเห็นถูก รู้ถูกได้

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นความต่างกันว่า การที่เรามีโอกาสได้ฟังธรรมะ แม้เพียงเล็กน้อย เข้าใจได้แค่นี้ แต่ถ้าฟังต่อไป ความเข้าใจ ก็เพิ่มขึ้น อย่างเดี๋ยวนี้ ก็ต้องเพิ่มมากกว่าเมื่อเช้านี้ ทีละนิด ทีละหน่อย ไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง สามารถที่จะ เป็นสาวก ที่ได้ฟังพระธรรม เข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพียงเรื่องราวเข้าใจแต่สามารถเข้าใจ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ได้ จนกระทั่ง สามารถที่จะดับกิเลส ได้

เพราะฉะนั้น ทุกอย่าง ต้องละเอียด และ ต้องรู้ตามความเป็นจริง ในแต่ละคำ คุณคำปั่นคะ ปัญญา คือ อะไร?

คุณคำปั่น ปัญญา ก็คือ สภาพธรรมะ ที่มีจริงๆ ที่เข้าใจถูก เห็นถูก ขึ้นชื่อว่าปัญญา ก็คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ไม่ว่าจะเป็นระดับไหนก็ตาม ความเป็นจริงของปัญญา ไม่เคยเปลี่ยน ครับท่านอาจารย์ครับแม้แต่ ในขั้นของการฟัง มีการเข้าใจ ในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ค่อยๆ สะสมไป และเป็นไป ในทางที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ ซึ่งท่านอาจารย์ ก็ได้กล่าวอยู่เสมอว่า ปัญญา เป็นคำภาษาบาลี ถ้าเป็นคำไทย ก็คือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ซึ่งก็เป็นสภาพธรรมะ ที่มีจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์ คนเรียนอะไรก็ตาม สอบได้ที่ ๑ มีปัญญาไหม?

คุณคำปั่น ปัญญา ต้องเป็นความรู้ถูก ความเห็นถูก ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะ เท่านั้นครับ คนที่เรียนเก่ง คนที่คิดอะไรก็คิดได้เร็ว ได้ดีกว่าคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความถึงว่า เป็นปัญญา ในทางพระพุทธศาสนา ครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราใช้คำ ที่เราไม่รู้จัก ใช่ไหม? ครูสอนหนังสือ เด็กคนนี้ มีปัญญามาก ครูคนนั้น ใช้คำที่รู้จักหรือเปล่า? ใช้คำที่เป็นภาษาอื่น ไม่ได้ศึกษาจนกระทั่งเข้าใจจริงๆ ว่า แต่ละคำ หมายความถึง สภาพธรรมะ อะไร? เก่งแสนเก่ง อย่างไรก็ตาม จะรู้ความจริงไหม? ว่าขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไปรู้อย่างอื่น

คนที่ทำกับข้าวเก่ง ก็เห็น คนที่ตัดเสื้อเก่ง ก็เห็น คนที่ทำอะไรเก่ง ปลูกต้นไม้เก่ง แต่รู้อย่างอื่น ไม่ใช่รู้ลักษณะ ของสิ่งที่มีจริง นี่คือ ความต่างกันของปัญญา ซึ่งเป็นสภาพธรรมะ ที่เป็นความคิดนึก แยบคายแต่ว่า ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำ เราถึงต้องศึกษา ให้เข้าใจจริงๆ ว่า หมายความถึงอะไร รู้ สารพัดรู้ แต่ไม่รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ จะชื่อว่า "ปัญญา" หรือ?

เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ต้องรู้ ที่ใช้คำว่า "ปัญญา" ที่พระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่เลิศ ด้วยพระปัญญาคุณ ต้องรู้ว่า ตรัสรู้อะไร ตอนนี้ ใครมีปัญญาบ้าง? ตามความเป็นจริง คนอื่น บอกคนอื่นได้ไหม? ว่าคนนั้น มีปัญญา เท่านั้น เท่านี้ แต่ขณะใด ที่มีความเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ ในขั้นการฟัง "เข้าใจ" ไม่ใช่ "คิดเอง"

ไม่ใช่ประมาท ว่าเราอ่านได้ พระไตรปิฎก อรรถกถา ก็อ่านได้ แต่ว่าจริงๆ แต่ละคำ หมายความถึง สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ที่ทำให้สามารถที่จะเข้าใจถูก ตามความเป็นจริง เป็นผู้ตรง ว่าเห็น มีแน่ๆ เกิดแล้ว ขณะที่ ได้ยิน ต้องไม่มีเห็น เห็นก็ต้องดับ ขณะที่เห็น ได้ยิน ก็ต้องดับไปแล้ว เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก ทำให้หลงเข้าใจผิด ว่า "เห็น" เป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดดับเลย เหมือนมีอยู่ ตลอดเวลา ถ้าเข้าใจถูกอย่างนี้ ในขั้นฟัง ก็ไม่เข้าใจผิดเหมือนเดิม ว่าขณะนี้ ไม่มีอะไรเกิดดับเลย นั่นคือ ความเข้าใจผิด

แต่ว่า ต้องเป็นผู้ตรง เมื่อเข้าใจว่า สิ่งนี้ เป็นอย่างนี้จริงๆ สามารถที่จะรู้ได้ ไม่ใช่เพียงแต่พูดตาม เพราะเราได้ยิน ได้ฟัง แล้วเราก็พูดตาม เพราะเราเข้าใจตาม แต่ว่า เรายังไม่ได้ประจักษ์ความจริงตาม เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ที่จะรู้ว่า แค่นี้ไม่พอ เพราะเหตุว่า บอกว่าจริง แต่ว่า ยังไม่ได้พบความจริงนั้น จนกระทั่งประจักษ์แจ้ง ด้วยตัวเอง ก็ต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป เพราะ จากความเป็นปุถุชน แล้วก็มีความเข้าใจถูก ก็เป็น กัลยาณปุถุชน จากกัลยาณปุถุชน ก็จะถึงความเป็น พระอริยบุคคล

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 20 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ถ้าชาตินี้ ไม่ได้ฟังธรรมะเลย สะสมอะไร?

อกุศลไว้มาก โลภะก็มาก ติดข้องไปทุกขณะที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง

โทสะก็เยอะ

ความไม่รู้ ไม่ต้องพูดถึง มีอยู่เป็นประจำ ทุกขณะ ที่อกุศลเกิดขึ้น

สภาพธรรมะที่ไม่ดีเกิดขึ้น เพราะ ความไม่รู้"

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่าน ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
boonpoj
วันที่ 20 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 20 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 20 เม.ย. 2556

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย และทุกๆ ท่าน มา ณ กาลครั้งนี

ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 21 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
rrebs10576
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
พรรณี
วันที่ 22 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kinder
วันที่ 22 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 23 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wirat.k
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ch.
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pamali
วันที่ 24 เม.ย. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
พรรณี
วันที่ 30 เม.ย. 2556

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Thanapolb
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการของคุณหมอทวีป คุณพรทิพย์ ถูกจิตร

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
รู้จบลงที่รู้
วันที่ 13 พ.ค. 2556

อนุโมทนาบุญของท่านอาจารย์และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
paderm
วันที่ 13 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ