ปุจฉา-วิสัชนาธรรม

 
Choen
วันที่  30 เม.ย. 2556
หมายเลข  22826
อ่าน  2,237

มีเพื่อนต่างศาสนาได้มาสอบถามในเนื้อหาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในบางเรื่อง ดิฉันก็ยังไม่รู้แน่ชัดจึงไม่สามารถบอกได้ชัดเจน จึงเป็นการดีหากมีการแลกเปลี่ยนความรู้ที่เป็นประโยชน์ในทางที่ถูกต้องดีงาม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Choen
วันที่ 30 เม.ย. 2556

เพื่อนคนหนึ่งถามดิฉันว่า

1. รู้ได้อย่างไรว่าในวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระสงฆ์มารวมกัน 1,250 รูป (ใครเป็นคนนับจำนวน) ดิฉันตอบไปว่า คงไม่มีผู้นับจำนวน แต่ใช้วิธีที่บันทึกจดจำในแต่ละครั้งที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรม แล้วมีผู้บรรลุอรหันต์กี่รูปๆ ที่ใด กลุ่มใด เมื่อนับมารวมกันก็จะมีจำนวนผู้บรรลุพระอรหันต์ทั้งสิ้น 1,250 รูปพอดีในวันนั้นล้วนเป็นเพราะอรหันต์ทั้งสิ้น

2. ที่ชาวพุทธบูชารอยพระพุทธบาท พระบรมสารีริกธาตุนั้น รู้ได้อย่างไรว่าเป็นของ พระพุทธเจ้าจริงๆ (ข้อนี้ดิฉันไม่แน่ใจ จึงตอบแต่เพียงว่า จะไปหาข้อมูลที่ถูกต้องแน่ชัดอีกครั้ง) หากมีกัลยาณมิตรท่านใดทราบกรุณาช่วยตอบดิฉันด้วยคะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการให้ธรรมทาน เป็นการทำทานอันยิ่งใหญ่ เป็นการสั่งสมทานอย่าง หนึ่งจะนำพาท่านไปสู่พระนิพพานได้ในอนาคตกาล

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ มีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันนี้ คือ เป็นวันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งมีการประชุมพร้อมกันด้วยองค์ ๔ ประการ ได้แก่

๑. เป็นวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร

๒. ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ประชุมกันที่พระวิหารเวฬุวัน (อารามแห่งแรกในพระพุทธศาสนา พระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ถวาย) โดยเป็นการมาตามธรรมดาของตนๆ ไม่มีใครนัดหมาย

๓. ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูป ไม่มีแม้สักรูปหนึ่งที่เป็นปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ผู้สุกขวิปัสสกะ ภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ผู้ได้อภิญญาหกทั้งนั้น

๔. ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูป มิได้ปลงผมด้วยมีดโกนบวชแม้แต่รูปเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุ (คือได้รับการอุปสมบทจากพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระองค์ทรงเปล่งพระวาจาว่า เอหิ ภิกขุ = เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวไว้ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด)


ซึ่ง จากคำถามที่ว่า

1. รู้ได้อย่างไรว่าในวันมาฆบูชา เป็นวันที่พระสงฆ์มารวมกัน1,250 รูป (ใครเป็นคนนับจำนวน)

ผู้ที่กล่าวและแสดงไว้ คือ พระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระปัญญาตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงธรรม ตามความเป็นจริงว่า จำนวนพระอรหันต์ที่มาประชุมกันนั้นมีจำนวน 1,250 รูป โดยไม่ได้นัดหมาย และเป็นพระอรหันต์ โดยเป็นพระภิกษุที่พระพุทธเจ้าบวชให้ ซึ่งจำนวน 1,250 รูป ก็มาจากกลุ่มของชฎิล 1,000 รูป มีท่านพระอุรุเวลกัสสปะ เป็นต้น และ ศิษย์รวมหนึ่งพัน ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า และได้บวช บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ จำนวน 1,000 รูป และ อีก 250 รูป ก็มาจากกลุ่มของท่านพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ รวมแล้วทั้งหมด เป็น 1,250 รูป ครับ

ดังนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสในเรื่องนี้เอง พระองค์แสดงความจริง คำตรัสของพระองค์ เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง ที่สำคัญ สิ่งที่ไม่สามารถเห็น หรือ ผ่านไปแล้ว ก็ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธ ศาสนาพุทธ เพียงเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ว่า มีพระภิกษุจำนวนเท่านั้นหรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาของปัญญา คือ การได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ในคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ว่าตรงตามความเป็นจริง ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ เพราะพระองค์ทรงแสดงสัจจะ ความจริง ในสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฎกับตนเองอยู่แล้วใชีวิตประจำวัน เมื่อได้เข้าใจพระธรรมถูกต้อง ย่อมเชื่อในพระปัญญาคุณ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับ เพราะเห็นด้วยตาปัญญา ไม่ใช่เพียงเห็นด้วยตาเปล่า หรือ ไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่

ดังนั้น สาระที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่พระภิกษุมีจำนวนเท่าไหร่ แต่ สาระ คือ คำสอนของศาสนา ที่ทำให้เกิดปัญญา เป็นสิ่งที่ควรศึกษาด้วยตนเอง จึงจะยอมรับ หรือ ปฏิเสธในศาสนาได้จริงๆ เมื่อศึกษาด้วยตนเอง ครับ


2. ที่ชาวพุทธบูชารอยพระพุทธบาท พระบรมสารีริกธาตุนั้น รู้ได้อย่างไรว่าเป็นของ พระพุทธเจ้าจริงๆ (ข้อนี้ดิฉันไม่แน่ใจ จึงตอบแต่เพียงว่า จะไปหาข้อมูลที่ถูกต้อง แน่ชัดอีกครั้ง) หากมีกัลยาณมิตรท่านใดทราบกรุณาช่วยตอบดิฉันด้วยคะ

สำหรับรอยพระพุทธบาทนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ที่ประเทศอินเดีย และ ศรีลังกา ซึ่งจะแสดงรอยพระพุทธบาทเพื่ออนุเคราะห์กับสัตว์โลกนั้น ให้เกิดความเลื่อมใส เกิดกุศลจิต ส่วนพระบรมสารีริกธาตุจะจริงหรือไม่นั้น ก็สามารถอ่านตามลักษณะสัณฐานตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เช่น เท่าเมล็ดข้าวสารหัก เป็นต้น แต่ไม่ได้แสดงลักษณะที่เป็นเหมือนลูกปัดสีต่างๆ ไม่มีส่วนพระโลหิต ส่วนสมอง เป็นต้น

ที่สำคัญ แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง หรือ ปลอมอย่างไรก็ตาม แต่วัตถุใด ที่สร้างขึ้น เพื่อน้อมระลึกถึงพระคุณ มีรอยพระพุทธบาท เป็นต้น ผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ย่อมสามารถเกิดกุศลจิต น้อมระลึกถึงได้ เพราะมีความเข้าใจพระธรรมเป็นสำคัญ และแม้ว่าจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง รอยพระพุทธบาทจริง แต่ผู้นั้นไม่ได้มีความเข้าใจพระธรรม ก็กราบไหว้ในสิ่งที่ไม่รู้คุณ นอกจากไปขอพร ซึ่งเกิดอกุศล โลภะ ที่หวังอยากได้สิ่งนั้น สิ่งนี้ ไม่ได้เกิดกุศลจิตที่ระลึกถึงพระคุณอันเกิดจากความเข้าใจพระธรรม ครับประโยชน์ที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริงหรือไม่จริง แต่ประโยชน์ คือสำคัญอยู่ที่จิตของผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร เมื่อได้เห็นสิ่งที่สมมติว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ครับ เพราะการเห็นเป็นเพียงวิบากที่เป็นผลของกรรม เห็นสิ่งเดียวกัน แต่ใจของแต่ละคนก็ต่างกันไปตามการสะสม แม้จะเป็นพระบรมสารีริกธาตุจริง แต่จิตไม่เลื่อมใส ไม่เกิดกุศล แต่เป็นอกุศลแทนก็ได้ ขณะที่เห็นพระบรมสารีริกธาตุแล้วเกิดความสงสัยว่า จริงหรือไม่จริง ขณะที่สงสัยก็เป็นอกุศลแล้วในขณะนั้น

แต่ขณะใด เห็นพระบรมสารีริกธาตุ จะจริงหรือไม่จริงก็ตาม เกิดจิตเลื่อมใส ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า อันเกิดจากปัญญาที่ได้จากการศึกษาพระธรรมมา ก็เกิดกุศลจิตในขณะนั้น แม้จะไม่ใช่ของจริงหรือจริง แต่เกิดกุศลแล้วในขณะนั้นครับ ดังนั้น สำคัญที่จิตของเรา ไม่ใช่ว่าจะจริงหรือไม่จริง ครับ และแม้แต่พระพุทธรูปที่เป็นหิน ดินมาปั้น ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆ แน่นอน แต่ก็มีกราบไหว้ ทำไมกราบไหว้ ก็เพราะมีการเคารพ ระลึกถึงพระคุณว่าเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่เป็นเพียง หิน ดินเท่านั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆ ครับ จึงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของจิตผู้นั้นเองเป็นสำคัญ ว่าจะเป็นกุศล หรือ อกุศลในสิ่งที่ได้เห็นความเข้าใจพระธรรม จึงทำให้เกิดกุศลจิตได้ แม้จะเห็นสิ่งใดก็ตาม ครับ

ดังนั้น สาระที่สำคัญ คือ ไม่ใช่เพียงวัตถุภายนอก แต่สำคัญที่ใจของตนเอง คือ ใจที่มีความเข้าใจพระธรรม การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมด้วยตนเอง จึงจะเป็นบทพิสูจน์ความจริง ในแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยครับ

-ประเด็นที่กล่าวถึงวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประชุมสงฆ์ ที่เรียกว่าสาวกสันนิบาตนั้น ที่พระวิหารเวฬุวัน ในวันมาฆบูชานั้น ประโยชน์อยู่ที่พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงประทานในวันนั้น ซึ่งเป็นคำสอนที่เป็นประธาน อันเป็นคำสอนที่เหมือนๆ กันสำหรับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ คือโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นคำสอนที่ทำให้พ้นจากการตกไปด้วยอำนาจของกิเลส พ้นจากการตกไปในอบายภูมิ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ มีการไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อม การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว ซึ่งเป็นเรื่องของความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง เป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆ ไป พร้อมทั้งยังเป็นเหตุปัจจัยให้บรรลุถึงประโยชน์อย่างยิ่ง คือการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด สิ้นทุกข์ในวัฏฏะด้วย แต่จะไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษา หรือศึกษาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ถูกต้อง เช่น ศึกษาเพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญ เป็นต้น เพราะพระธรรมทั้งหมดเป็นไปเพื่อละกิเลส ไม่ใช่เป็นไปเพื่อเพิ่มกิเลส

พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจ เห็นถูก เป็นไปเพื่อละความไม่ดี คือ กิเลสประการต่างๆ มี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ที่สำคัญที่สุดจึงต้องเริ่มสะสมปัญญา จากการฟัง การศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ในขณะนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต เพราะเมื่อพิจารณาแล้ว จะเห็นได้ตามความเป็นจริงว่า ในชีวิตนี้ ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับการได้เข้าใจพระธรรมจริงๆ

-ประเด็นเรื่องการกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ ขอยกคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อพิจารณาร่วมกัน ซึ่งเป็นประโยชน์มาก คือ

"การที่มีโอกาสได้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุในขณะนั้น ย่อมเป็นอนุสติที่จะให้น้อมระลึกถึงสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์ เมื่อพระบรมสารีริกธาตุทุกองค์ยังรวมกัน ประกอบด้วยเนื้อ เอ็น เลือดและพระอวัยวะส่วนต่างๆ ซึ่งในกาลที่อวัยวะและพระบรมสารีริกธาตุยังรวมกันเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลกเป็นอันมาก ซึ่งไม่มีผู้ใดเสมอ

การที่จะระลึกถึงพุทธกิจของพระองค์นั้น จะทำให้เป็นพุทธานุสติที่จะเห็นการบำเพ็ญพระบารมีก่อนที่จะได้ตรัสรู้ และเมื่อหลังจากทรงตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมเกื้อกูลอนุเคราะห์สัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์เป็นอันมาก"

ขอเชิญคลิกฟังได้จากที่นี้ ... ชุดเทปวิทยุ ครั้งที่ 1928

ทุกคนเกิดมาแล้ว ในที่สุดก็จะต้องตาย ละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ในระหว่างที่ยังไม่ตาย ตราบเท่าที่กระดูกทุกส่วนในร่างกายยังรวมกัน ยังมีอวัยวะครบทุกส่วน ก็ควรจะได้สะสมในสิ่งที่ดีงาม อบรมเจริญปัญญา สะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 30 เม.ย. 2556

ไม่ต้องสนใจว่าพระบรมสารีริกธาตุ จริง หรือ ปลอม อยู่ที่กุศลจิตของเรา ที่เคารพด้วยความนอบน้อม และ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Thanapolb
วันที่ 1 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่บ้านก็มีพระธาตุที่มีคนให้มาและรับมาบ้าง ก็ไม่รู้หรอกพระธาตุของท่านใด จริงหรือปลอม เพราะไม่ทราบได้ แต่เมื่อเราไม่รู้จริง ก็ไม่ต้องไปสังสัยว่าว่าจะจริงไหม และ ไม่ควรกล่าวอ้างว่าจริงหรือไม่จริง

แต่พอช่วยเตือนสติได้ ถ้าเป็นของบุคคลที่ควรเคารพ ผู้ที่ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติดี มีความเห็นถูก มีปัญญา และสูงสุดคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราควรที่จะเจริญรอยตาม ควรสะสมสิ่งที่ดีงาม อบรมเจริญปัญญา ดังคำกล่าวอันไพเราะของอาจารย์คำปั่น

ขออนุญาตพิมพ์ซ้ำ

" ทุกคนเกิดมาแล้ว ในที่สุดก็จะต้องตาย ละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ในระหว่างที่ยังไม่ตาย ตราบเท่าที่กระดูกทุกส่วนในร่างกายยังรวมกัน ยังมีอวัยวะครบทุกส่วน ก็ควรจะได้สะสมในสิ่งที่ดีงาม อบรมเจริญปัญญา สะสมเป็นที่พึ่่งให้กับตนเองต่อไป"

อนุโมทนากับกุศลจิตทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 1 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
นิรมิต
วันที่ 1 พ.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
nopwong
วันที่ 2 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 2 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pat_jesty
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
orawan.c
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Choen
วันที่ 5 พ.ค. 2556

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ช่วยวิสัชนาธรรมให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจถ่องแท้ยิ่งขึ้น ขออานิสงค์แห่งธรรมทานครั้งนี้ส่งผลให้ท่านและครอบครัวมีความสุขความเจริญ สาธุ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ