ศีล 5 เศร้าหมอง

 
Rodngoen
วันที่  3 พ.ค. 2556
หมายเลข  22851
อ่าน  2,489

ผมอยากจะรบกวนถามเรื่องการผิดศีล ข้อ 5 สุราเมรัยฯ (หรือข้ออื่นๆ )

1. สมมติตอนนี้ผมถือศีล 5 บริสุทธิ์ สมมติว่าผมดื่มสุราเพื่อเข้าสังคมนิดหน่อย (ไม่ถึงกับเมาจนขาดสติ) อันนี้ผมผิดศีลครับคือผมดื่มสุรา แต่อยากจะถามต่อไปอีกว่า ณ วันรุ่งขึ้น ศีลผมจะเศร้าหมองไหมครับ หรือผมต้องไปรับศีลใหม่

2. เรื่องการรับศีล ผมกล่าวรับศีลเองได้ไหมหรือต้องรับจากพระภิกษุสงฆ์ครับ ท่านผู้เจริญในธรรม โปรดจุดเทียนให้แสงสว่างให้ผมด้วยครับ

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-ตามความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่จะมีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์ครบถ้วนต้องเป็นพระอริยบุคคล เพราะเหตุว่าผู้ที่เป็นปุถุชนโอกาสที่จะล่วงศีลข้อใดก็หนึ่งก็ย่อมมีได้ แสดงถึงภาวะคือความเป็นปุถุชนจริงๆ ซึ่งไม่ใช่พระอริยบุคคล อย่างในประเด็นเรื่องการดื่มสุรา ดื่มเมื่อใด ก็ผิดศีลข้อ ๕ เมื่อนั้น ไม่ว่าจะดื่มมากหรือน้อยก็ผิดศีล ไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้า แม้ในขณะนั้นศีลก็เศร้าหมองแล้วเพราะมีการก้าวล่วง ครับ เมื่อผิดแล้วก็ควรที่จะได้เห็นโทษ ตั้งต้นที่จะมีความตั้งใจที่จะวิรัติงดเว้นต่อไป คือตั้งใจสมาทาน งดเว้นจากบาปอกุศลธรรมเหล่านั้น จึงจะชื่อว่าเป็นผู้มีศีล

-ความเป็นผู้มีความจริงใจที่วิรัติงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ เป็นต้นนั้น ไม่จำเป็นจะต้องรับจากพระ แต่เป็นความตั้งใจที่จะสมาทานคือถือเอาเป็นข้อปฏิบัติด้วยดีที่จะไม่ล่วงละเมิดในข้อนั้นๆ เพราะเป็นผู้เห็นโทษของการก้าวล่วงศีล แม้จะไม่ได้รับจากพระที่เป็นการกล่าวคำภาษาบาลี ขณะนั้นก็สมาทานคือถือเอาเป็นข้อปฏิบัติด้วยดีแล้วที่จะไม่ก้าวล่วง สิ่งสำคัญ คือ ความเข้าใจพระธรรม จะอุปการะเกื้อกูลให้มีการรักษาศีลยิ่งขึ้น คล้อยตามความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. สมมติตอนนี้ผมถือศีล 5 บริสุทธิ์ สมมติว่าผมดื่มสุราเพื่อเข้าสังคมนิดหน่อย (ไม่ถึงกับเมาจนขาดสติ) อันนี้ผมผิดศีลครับคือผมดื่มสุรา แต่อยากจะถามต่อไป อีกว่า ณ วันรุ่งขึ้นศีลผมจะเศร้าหมองไหมครับ หรือผมต้องไปรับศีลใหม่

- ศีลมีหลากหลายนัย ซึ่ง ศีลโดยทั่วไป หมายถึง ความประพฤติที่ดีงาม ที่เป็นไปในทางกาย วาจา และขณะที่งดเว้นจากการะทำทางกาย วาจาที่ไม่ดี ก็เป็นศีลในขณะนั้น ซึ่งก็จะต้องเข้าใจในความละเอียดของศีลว่า อะไรที่ทำให้ศีลเศร้าหมอง สภาพธรรมที่ทำให้ศีลเศร้าหมอง คือ อกุศลธรรม หรือ สภาพธรรมที่เป็นกิเลส ดังนั้น ความเศร้าหมองของศีลจึงมีความละเอียดลึกซึ้งแตกต่างกันไปตามระดับของกิเลส ผู้ที่ศีลเศร้าหมอง ระดับที่ล่วงศีล คือ มีการทำทุจริตทางกาย วาจา เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มสุรา ในขณะนั้นที่ทำบาปชื่อว่าศีลเศร้าหมองแล้วในขณะนั้น เศร้าหมองเพราะอกุศลจิตที่เกิดขึ้น มีกำลังถึงกับล่วงออกมาทางกาย วาจา ถึงกรรมบถ อันเป็นเหตุให้ไปอบายภูมิได้ นี่ก็เป็นศีลเศร้าหมองในขณะที่ทำบาป ทำอศุลกรรมบถที่เศร้าหมองอย่างมีกำลัง

และ ในความละเอียดลงไปอีก แม้ขณะที่ไม่ได้ทำบาป ถึงเป็นการล่วงศีล ๕ เพียงแค่ทำกาย วาจาที่ไม่ดี เช่น พูดบ่น ทำกายไม่ดีประการต่างๆ แม้ขณะนั้น ก็ศีลเศร้าหมองแล้ว เพราะศีลยังหมายถึงความประพฤติเป็นไปที่เป็นปกติของสัตว์ทั้งหลาย ขณะที่มีกายวาจาที่ไม่ดี แม้ไม่ถึงกับล่วงศีลก็ศีลเศร้าหมอง เพราะขณะที่ทำกายวาจาไม่ดีก็ด้วยอกุศลจิต กิเลสที่ทำให้เศร้าหมอง ศีล คือ ความประพฤติเป็นไปของสัตว์ทั้งหลายก็เศร้าหมองครับ และละเอียดลึกไปอีก แม้ไม่ได้แสดงออกทางกายทางวาจาเลย แต่เกิดอกุศลในจิตใจ ศีลเศร้าหมองแล้ว เพราะความเศร้าหมอง คือ กิเลสเกิดขึ้นในขณะนั้นครับ

ซึ่งจากคำถามที่ว่า สมมติตอนนี้ผมถือศีล 5 บริสุทธิ์ สมมติว่าผมดื่มสุราเพื่อเข้าสังคมนิดหน่อย (ไม่ถึงกับเมาจนขาดสติ) อันนี้ผมผิดศีลครับคือผมดื่มสุรา แต่อยากจะถามต่อไปอีกว่า ณ วันรุ่งขึ้นศีลผมจะเศร้าหมองไหมครับ หรือผมต้องไปรับศีลใหม่

- ขณะที่ดื่มสุรา ในขณะนั้นศีลเศร้าหมอง เพราะล่วงศีล ๕ ในขณะนั้น ซึ่งจะต้องละเอียดครับว่า ในชีวิตก็คือการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก แต่ละขณะ เพราะฉะนั้น ขณะที่ล่วงศีล ก็เศร้าหมองในขณะนั้น แต่ขณะอื่น จิตขณะต่อไปที่ไม่ได้ล่วงศีล หากเป็นกุศลธรรม เกิดกุศลจิต ก็ไม่ได้เศร้าหมองในขณะนั้น และหากเกิดอกุศลจิตประเภทใด ก็ชื่อว่ามีศีลเศร้าหมองในขณะนั้น ดังนั้น จะต้องพิจารณาเป็นทีละขณะจิตไปเป็นสำคัญครับ ซึ่งเมื่อล่วงศีลแล้ว จะเกิดกุศลศีลได้อีก คือ ขณะที่งดเว้นจากบาป ขณะนั้นเกิดกุศลศีล และขณะที่ตั้งใจที่จะรักษาศีลใหม่ ที่เรียกศัพท์ว่าสมาทาน ขณะที่มีเจตนารักษาใหม่ก็ชื่อว่ามีกุศลศีลในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น เมื่อล่วงศีลแล้ว ผู้ร่วมสนทนาก็สามารถที่จะสมาทาน ที่จะมีเจตนารักษาใหม่ได้แม้ในขณะที่ล่วงศีลไปแล้ว ไม่ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ หรือ ถ้าวันพรุ่งนี้ก็สามารถสมาทานมีเจตนารักษาใหม่ได้ ขณะจิตที่มีเจตนาจะรักษาศีล ก็ชื่อว่า มีศีลบริสุทธิ์ในขณะนั้น บริสุทธิ์โดยนัยที่ไม่ล่วงศีล ๕ ครับ

แต่ในความละเอียดแล้วนั้น ผู้ที่จะถึงความบริสุทธิ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์จริงๆ นั้น คือ พระโสดาบัน ที่จะไม่ล่วงศีลอีกเลยด้วยปัญญา และผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ คือ ไม่เกิดอกุศลจิตอีกเลยโดยนัยสูงสุด คือ พระอรหันต์ครับ

2. เรื่องการรับศีล ผมกล่าวรับศีลเองได้ไหม หรือต้องรับจากพระภิกษุสงฆ์ครับ

- ศีล ไม่ใช่สิ่งของที่จะมามอบให้ หากไม่มีผู้ให้ ไม่มีผู้รับ แล้วจะไม่ได้ศีล จะไม่ได้รักษาศีล แท้ที่จริง ศีล คือ สภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ของใคร ของตัวผู้ที่จะรักษาเอง เพราะฉะนั้น ศีลจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยจิตใจของตนเอง ที่จะเห็นประโยชน์ที่จะไม่ล่วงศีล จึงมีเจตนาที่เกิดจะรักษาในขณะนั้น ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว อยู่ที่ไหน ขณะใดเกิดกุศลจิตที่มีเจตนาจะรักษาศีลเมื่อใด เมื่อนั้นชื่อว่ามีเจตนารักษาศีล รับศีลแล้ว เพราะเกิดกุศลจิตที่จะรักษาในขณะนั้น

เพราะฉะนั้น การจะสมาทานรักษาศีล ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวต่อหน้าพระภิกษุ ต้องอยู่ในโบสถ์ สถานที่ใด เจตนาของผู้รักษาเป็นสำคัญ สามารถน้อมระลึกที่จะรักษาได้ ครับ

ศีล เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม ควรมี ควรรักษา แต่จะต้องอาศัยปัญญาที่เกิดจากการศึกษาพระธรรม ศีลก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามปัญญาที่เจริญขึ้น ครับ

[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓- หน้าที่ 425

๑. สีลวเถรคาถา

ศีลเป็นกำลังหาที่เปรียบมิได้ เป็นอาวุธอย่างสูงสุด เป็นอาภรณ์อันประเสริฐ เป็นเกราะอันน่าอัศจรรย์ ศีลเป็นสะพาน เป็นมหาอำนาจ เป็นกลิ่นหอมอย่างยอดเยี่ยม เป็นเครื่องลูบไล้อันประเสริฐ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมหอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ศีลเป็นเสบียงอันเลิศ เป็นเสบียงเดินทางชั้นเยี่ยม เป็นพาหนะอันประเสริฐยิ่งนัก เป็นเครื่องหอมฟุ้งไปทั่ว

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Rodngoen
วันที่ 3 พ.ค. 2556

สว่างขึ้นมาแล้วครับ

ขออนุโมทนาและ ขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูงครับผม

(ผมมีคำถามอีกหลายอย่างเลยครับ แต่ผมไม่รู้ว่าควรจะตั้งหัวข้อใหม่หรือจะถามในกระทู้นี้ดีครับ ผมสมาชิกใหม่สนใจในธรรม ช่วยแนะทางให้ผมด้วยครับ)

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 3 พ.ค. 2556

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

สามารถสอบถาม สนทนาโดยการตั้งกระทู้ใหม่ได้ครับ จะสะดวกกว่า และสามารถอ่านศึกษาในเวปนี้ได้ ทั้งเมนูฟังธรรม และ กระดานสนทนา ในกระทู้เก่าๆ ก็ได้ครับ ขออนุโมทนาที่สนใจในพระธรรม ยินดีต้อนรับครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Rodngoen
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอบคุณมากครับผม

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตยกคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ซึ่งเป็นเครืองเตือนใจที่ดีมากเกี่ยวกับการรักษาศีล จากชุดเทปวิทยุ ครั้งที่ ๔๕๙ ครับ


ศีลจะสำเร็จได้ก็ด้วยการมีเมตตา คือ ขณะนั้นไม่ประกอบด้วยโทสะ เช่น ในข้อของ ปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต ถ้าขณะนั้นเกิดเมตตา ย่อมไม่สามารถที่จะฆ่าผู้อื่นได้ หรือแม้แต่จะเบียดเบียนประทุษร้ายด้วยกายหรือด้วยวาจาก็ตาม ถ้าเกิดเมตตาขึ้นทันที ในขณะนั้นย่อมงดเว้นการที่จะเบียดเบียนประทุษร้ายด้วยกาย ด้วยวาจา แต่ถ้าขณะนั้น เมตตาไม่เกิด ก็ย่อมเป็นไปตามกำลังของกิเลส

แม้ในข้อของอทินนาทาน คือ การถือเอาวัตถุที่เจ้าของไม่ให้ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านเป็นผู้มีเมตตาในบุคคลผู้เป็นเจ้าของ รู้ว่าเขาจะต้องเสียใจ เสียดายในการที่จะสูญเสียวัตถุซึ่งเป็นประโยชน์ของเขาไป ถ้าท่านมีจิตเมตตาในขณะนั้น ท่านย่อมไม่สามารถที่จะถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้

กาเมสุมิจฉาจาร คือ การประพฤติผิดในกาม ก็เช่นเดียวกัน ย่อมทำความเดือดร้อนให้กับวงศาคณาญาติของผู้ที่ท่านกระทำทุจริตกรรม เพราะฉะนั้น ถ้าขณะนั้นท่านมีเมตตา คิดถึงบุคคลอื่น ไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเดือดร้อน ท่านก็จะละการล่วงทุจริตกรรมข้อนี้ได้

แม้ข้อของมุสาก็เช่นเดียวกัน การที่ท่านพูดไม่จริง เป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่น ไม่ให้คนอื่นได้รู้เรื่องจริง ไม่ให้คนอื่นได้รู้ความจริง ความโกรธ ความประทุษร้าย ไม่เมตตาต่อผู้อื่น จึงกล่าวมุสาได้ (แต่ถ้าเมตตาเกิด ก็ย่อมไม่กระทำอย่างนั้นแน่นอน)

แม้การดื่มสุราก็เช่นเดียวกัน เวลาที่ดื่มสุราแล้วขาดสติ หลงลืมสติอย่างมาก และผู้ที่ดื่มสุราก็เป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ เมื่อมีสุราเป็นเชื้อ เป็นปัจจัยให้กิเลสเหล่านั้นเกิดมีกำลังกล้าขึ้น ย่อมจะสามารถทำทุจริตกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นการเบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อนได้

เพราะฉะนั้น เรื่องของศีลทั้งหมดก็เป็นเรื่องของการที่จะรักษาได้ด้วยอโทสะ คือ การมีเมตตาต่อสัตว์อื่น ต่อบุคคลอื่น นั่นเอง

ขอเชิญคลิกฟังได้จากที่นี่ ครับ

ชุด เทปวิทยุ ครั้งที่ 0459

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 3 พ.ค. 2556

ศีลเศร้าหมองเพราะว่าพูดไม่ดี ทางกายก็ทำไม่ดี ทางใจก็คิดไม่ดี ถึงแม้ไม่ถึงกับล่วงศีล แต่ก็ทำให้ศีลเศร้าหมอง เพราะเป็นอกุศลจิต ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
daris
วันที่ 4 พ.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nopwong
วันที่ 5 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 6 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ