บำเพ็ญประโยชน์แก่โลก [ทุมเมธชาดก]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ ๕๔
๑๐. ทุมเมธชาดก *
(คนโง่ถูกบูชายัญ เพราะคนอธรรม)
[๕๐] "เราได้บนไว้ต่อเทวดา ด้วยคนโง่เขลา หนึ่งพันคน บัดนี้เราจักต้องบูชายัญ เพราะคน อธรรมมีจำนวนมาก"
จบ ทุมเมธชาดกที่ ๑๐
อรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๑๐
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก ตรัสพระธรรมเทศนา นี้ มีคำเริ่มต้นว่า "ทุมฺเมธาน" ดังนี้.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง พาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระอัครมเหสี แห่งพระราชาพระองค์นั้น ครั้นประสูติจากพระครรภ์พระมารดาแล้ว พระประยูรญาติได้ขนานพระนามให้ว่า "พรหมทัตกุมาร" พอมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา ก็ได้ทรงศึกษา ศิลปะในเมืองตักกสิลา ทรงเจนจบไตรเพท และทรงสำเร็จ ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ. ต่อมาพระราชบิดา ทรงพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระองค์. ในครั้งนั้น ประชาชนในกรุงพาราณสี นับถือเทวดาเป็นสิ่งขวัญ พากันนอบนบเทวดา ฆ่าแพะ แกะ ไก่ และหมู เป็นต้นมากมาย กระทำการบวงสรวงด้วยดอกไม้และของหอมนานาชนิด และด้วยเนื้อและโลหิต.
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า บัดนี้ ประชาราษฎร์นับถือเทวดาเป็น มิ่งขวัญ พากันฆ่าสัตว์ มหาชนฝังใจในอธรรมถ่ายเดียวโดยมาก เราได้ราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว จักไม่ให้สัตว์ แม้สักตัวเดียวได้ลำบาก ต้องหาอุบายไม่ให้ใครๆ ฆ่าสัตว์ตัด ชีวิตให้จงได้. อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ทรงรถเสด็จออกจาก พระนคร ทอดพระเนตรเห็นมหาชนชุมนุมกันที่ ต้นไทรใหญ่ ต้นหนึ่ง ใครอยากได้สิ่งใดๆ ในบรรดา ลูกชาย ลูกหญิง ยศ และทรัพย์เป็นต้น ก็พากันบนในสำนักของเทวดา อันสิงอยู่ ณ ต้นไทรนั้น พระองค์จึงเสด็จลงจากรถ ทรงดำเนินเข้าไปใกล้ ต้นไทรนั้น ทรงบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ สรงสนาน กระทำ ประทักษิณต้นไม้เหมือนกับพวกที่ถือเทวดาเป็นมิ่งขวัญ บังคม เทวดาแล้ว เสด็จขึ้นทรงรถกลับเข้าพระนคร ตั้งแต่นั้นมา ก็ เสด็จไปที่ต้นไม้นั้น ทุกๆ ขณะเวลาที่ว่าง ทรงทำการบูชา เหมือนเป็นผู้นับถือ เทวดาเป็นมิ่งขวัญ ดังพรรณนามาแล้วนั่น แล. โดยสมัยต่อมา พระราชบิดาสวรรคต พระองค์ก็ได้เสวยราชย์ ทรงเว้นอคติ ๔ ประการ ทรงประพฤติทศพิธราชธรรม เคร่งครัด ดำรงราชโดยธรรม ทรงพระดำริว่า มโนรถของเรา ถึงที่สุดแล้ว เราดำรงในราชสมบัติแล้ว แต่ข้อหนึ่งที่เราคิดไว้ ครั้งก่อนนั้น ก็จะต้องให้ถึงที่สุดในบัดนี้ พลางมีพระราชกระแส เรียกพวกอำมาตย์และประชาชน มีพราหมณ์ คฤหบดีเป็นต้น มาประชุมกัน ตรัสประกาศว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านทราบกันไหมว่า เหตุใดเราจึงได้ราชสมบัติ? ประชาชนพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทราบ พระเจ้าข้า. รับสั่งถามว่า เมื่อเราบูชาต้นไทรต้นโน้นด้วยของ หอมเป็นต้น ประคองกระพุ่มมือนบไหว้อยู่ พวกท่านเคยเห็นหรือ ไม่เล่า? ขอเดชะ เคยเห็นพระเจ้าข้า. พระองค์มีพระราชดำรัสต่อไปว่า ในครั้งนั้น เราตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าได้ราชสมบัติ จักกระทำพลีกรรม เราได้ราชสมบัตินี้ด้วยอานุภาพของเทวดา นั้น บัดนี้เราจักกระทำพลีกรรมแก่ท้าวเธอ พวกท่านอย่าชักช้า เลย พากันเตรียมพลีกรรมแก่เทวดา เป็นการเร็วเถิด. พวกอำมาตย์เป็นต้น ทูลถามว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจัดสิ่งใดเล่าพระเจ้าข้า? ทรงรับสั่งว่า ท่านทั้งหลาย เมื่อเราบนเทวดาเราได้อ้อนวอนไว้ว่า ข้าพเจ้าจักฆ่าหมู่คนที่พากันประพฤติยึดถือ กรรม แห่งคนทุศีล ๕ ประการ มีฆ่าสัตว์เป็นต้น และที่พากัน ประพฤติยึดถืออกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ในรัชกาลของข้าพเจ้า แล้วจักทำพลีกรรม ด้วยลำไส้และเลือดเนื้อคนเหล่านั้น เพราะ ฉะนั้น พวกท่านจงตีฆ้องประกาศไปว่า พระราชาของพวกเรา ครั้งดำรงพระยศเป็นอุปราชอยู่นั่นแล ทรงบนเทวดาไว้อย่างนี้ ว่า ถ้าทรงครองราชสมบัติ จักให้ฆ่าคนที่ปรากฏว่าทุศีลในรัชกาล ให้หมด แล้วการทำพลีกรรม บัดนี้พระองค์มีพระราชประสงค์ จะให้ฆ่าคนที่ประพฤติ ยึดถือกรรมของตนทุศีล ๕ ประการ ซึ่ง เป็นคนทุศีลประมาณพันคน แล้วให้เอาเครื่องใน มีหัวใจ เป็นต้น ของคนเหล่านั้น ไปทรงกระทำพลีกรรมแก่เทวดา ชาวพระนคร ทั้งหลายจงรู้ไว้อย่างนี้เถิด. ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงประกาศ พระราชประสงค์ว่า คราวนี้นับแต่บัดนี้ไป เราจักต้องฆ่าคนที่ ประพฤติกรรมของตนทุศีลให้ถึงพันคน บูชายัญ จึงจักพ้นจาก การบน ได้ตรัสพระคาถานี้ ว่า :-
"เราเข้าไปบนไว้ ถึงการบูชายัญด้วยคน โง่ๆ พันคน บัดนี้เล่า เราจักต้องบูชายัญละ คนที่ประพฤติอธรรมมีมากนัก" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุมฺเมธาน สหสฺเสน ความว่า บุคคลชื่อว่ามีปัญญาทราม เพราะไม่รู้เลยว่า กรรมนี้ควรทำ กรรมนี้ไม่ควรทำ ก็หรือชื่อว่าโง่ เพราะประพฤติยึดถือในอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ ด้วยคนเขลาที่โง่เง่าไร้ปัญญาเหล่านั้น นับให้ได้พันคน.
บทว่า ยญฺโ เม อุปยาจิโต ความว่า เราได้เข้าไปหาเทวดา บนไว้ถึงการบูชายัญ ว่าจักบูชายัญอย่างนี้.
บทว่า อิทานิ โขห ยชิสฺสามิ ความว่า เรานั้นจักบูชายัญในบัดนี้ เพราะได้ครองราชสมบัติด้วยการบนนี้.เพราะเหตุไร?
เพราะเดี๋ยวนี้ คนที่ประพฤติอธรรมมีมากนัก เพราะฉะนั้น ต้องจับเขาไปทำพลีกรรม เสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว. พวกอำมาตย์ฟังพระดำรัสของพระโพธิสัตว์แล้ว ก็รับ พระบรมราชโองการว่า ชอบด้วยเกล้า ฯ พระเจ้าข้า แล้วเที่ยว ตีกลองป่าวประกาศไปทั่วเมืองพาราณสี อันมีปริมณฑล ๑๒ โยชน์. ชาวประชาทั่วไป ฟังอาญาจากการตีกลองป่าวประกาศ แล้ว จะหาคนที่ยึดถือทุศีลกรรม แม้เพียงข้อเดียว สักคนหนึ่ง ก็ไม่ได้. ด้วยกุสโลบายอันแนบเนียนนี้ ตลอดเวลาที่พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติอยู่ บุคคลที่กระทำกรรม ในบรรดาทุศีลกรรม ๕ ประการ หรือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ แม้เพียงข้อเดียว ก็ไม่ปรากฏเลย.
พระโพธิสัตว์มิได้ทรงให้บุคคลแม้เพียงคนเดียวลำบาก โปรด ชาวแว่นแคว้นหัวหน้า ให้รักษาศีล แม้พระองค์เอง ก็ทรงบำเพ็ญ บุญมีการให้ทานเป็นต้น ในเวลาสิ้นพระชนม์ ก็ทรงพาบริษัท ของพระองค์ ไปแน่นเทวนครด้วยประการฉะนี้.
แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่โลก แม้ในกาลก่อน ก็ประพฤติแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา นี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า บริษัทในครั้งนั้น ได้ มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วนพระเจ้ากรุงพาราณสี ได้มาเป็น เราตถาคตฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาทุมเมธชาดกที่ ๑๐
หมายเหตุ ทุมเมธะ แปลว่า คนโง่ คนไม่มีปัญญา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า บัดนี้ ประชาราษฎร์นับถือเทวดาเป็น มิ่งขวัญ พากันฆ่าสัตว์ มหาชนฝังใจในอธรรมถ่ายเดียวโดยมาก เราได้ราชสมบัติ เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว จักไม่ให้สัตว์ แม้สักตัวเดียวได้ลำบาก ต้องหาอุบายไม่ให้ใครๆ ฆ่าสัตว์ตัด ชีวิตให้จงได้.
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ...