ถามเรื่องเทวดา

 
pronpot
วันที่  8 พ.ค. 2556
หมายเลข  22874
อ่าน  7,256

มีแรื่องเกี่ยวกับเทวดาที่มีความสงสัยดังนี้

1. หลายปีก่อนผมได้เดินทางไปอ.สัตหีบ บังเอิญมีโอกาสพบคุณป้าคนหนึ่ง จากนั้นได้พูดคุยกันสักครู่หนึ่ง ท่านเลยบอกว่าลองดูดวงให้ จากนั้นแกทักว่า เมื่อเช้าจะใส่เสื้ออีกตัวใช่ไหมแต่เปลี่ยนใจ ซึ่งผมประหลาดใจเพราะเป็นความจริง จากนั้นแกบอกว่า เจ็บขาซ้าย และเป็นโรคท้องอืด ซึ่งผมยอมรับว่าเป็นความจริง ต่อมาท่านบอกว่าผมมีเทพรักษาเป็นผู้หญิงมีสไบสีเขียว ซึ่งท่านมารอตัวผมตอนผมเกิด ที่บ้านเก่าที่เสาตกน้ำมัน กลับมากรุงเทพผมถามแม่ผมว่าบ้านเก่าเป็นอย่างไรคุณแม่บอกว่าเป็นบ้านเช่าสร้างด้วยไม้ไม่แน่ใจเรื่องแสาน้ำมัน และถูก รื้อไปแล้ว อยากถามว่า มนุษย์เรามีเทพรักษาหรือไม่

2. รูปของเหล่าเทวดานั้น มี 28 รูป และมีมหาภูตรูป เหมือนหรือแตกต่างกับมนุษย์อย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 8 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1. อยากถามว่า มนุษย์เรามีเทพรักษาหรือไม่

ในหมู่สัตว์โลกที่สมมติขึ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงคือ จิต เจตสิก รูปนั้น สัตว์โลกก็มีมากมาย แบ่งเป็นไปตามกรรมและภพภูมิต่างๆ ตามผลของกรรมที่ให้ผลครับ เทวดาก็เป็นภพภูมิหนึ่งเกิดจากผลของกุศลกรรมที่ประณีต สำหรับประเด็นเรื่องของเทวดาประจำตัว ที่คอย รักษา มีหรือไม่ ก่อนจะพูดถึงเทวดา เรามาพูดถึงชีวิตประจำวันก่อนครับว่า มีคน ที่หวังดีกับเราบ้างไหม คอยช่วยเหลือเรา เกื้อกูลเรา เป็นมิตรกับเรา ก็ต้องมีบ้างใช่ไหมครับ คนที่คอยช่วยเหลือเป็นมิตรกับเรา อย่างน้อยก็เป็นบิดามารดาของเราเอง ครับ จะเรียกว่าท่านเป็นเทวดาที่รักษาเราได้ไหม ประจำตัวเรา หรือเพื่อนที่จริงใจคอยช่วยเหลือก็มีอยู่ จะเรียกว่าเพื่อนนั้นว่าเป็นเทวดาที่รักษาเราได้ไหม อันนี้เป็นการยกตัวอย่างว่าคนที่คอยช่วยเหลือเราในชีวิตประจำวัน คอยรักษาเรามีอยู่ครับ ไม่มากก็น้อย

เมื่อพูดถึงสัจจะความจริงแล้ว การที่เรามีคนที่คอยช่วยเหลือ รักษาคุ้มครองหวังดีกับเรานั้นเพราะอะไร ทุกอย่างจะต้องมีเหตุครับ นั่นคือเพราะกรรมดีของเราเองที่ทำไว้ เมื่อกรรมดีให้ผลก็ย่อมทำให้มีผู้ช่วยเหลือ รักษาปกป้องคุ้มครองเราให้พ้นจากอันตรายหรือให้ได้รับสิ่งดีๆ เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องของกรรม คือกรรมดีที่ทำไว้นั่นเองครับ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า บุญเปรียบเหมือนมิตร เพราะว่ามิตรย่อมนำสิ่งดีมาให้ เพื่อนฉันใด บุญหรือกรรมดีเมื่อให้ผล ก็ย่อมนำสิ่งดีๆ ต่างๆ ปกป้องคุ้มครองเราให้พ้นจากอันตราย และพบสิ่งที่ดีๆ ครับ กรรมนั่นเองที่จัดสรร

เมื่อพูดถึงเทวดาประจำตัว ที่กล่าวไปแล้วครับที่ได้ยกตัวอย่างว่าในชีวิตประจำวันในโลกมนุษย์ ก็ยังมีคนที่หวังดี คนที่คอยช่วยเหลือเรา เป็นมิตรกับเราอันเนื่องมาจากกรรมดีที่ทำไว้ทำให้มีคนที่รักษา คุ้มครองเราในโลกมนุษย์ จะเห็นได้ว่าการจะมีคนที่คอยรักษา คุ้มครองก็จะต้องเป็นผลของกรรมดี คือกรรมดีที่ทำไว้ ซึ่งในโลกมนุษย์นี้คนที่ทำดี เป็นผู้สะสมบุญมามากก็มีอยู่ ผลของบุญนั้นก็ต้องมีเทวดาที่รักษาคุ้มครองบุคคลนั้น อันเกิดจากผลของบุญของบุคคลนั้นที่ทำไว้ครับ แต่ถามว่าจะต้องมีเทวดาประจำตัวที่คอย ปกป้องรักษา คุ้มครองหรือไม่ คงไม่เช่นนั้นครับ เพราะต้องเป็นบุคคลที่สะสมบุญมามากจึงจะมีเทวดาที่คอยรักษาคุ้มครอง เพราะเทวดาเขาก็มีกิจมาก มีการเล่นเป็นส่วนมาก ดังนั้น ผู้ที่จะมีการรักษาคุ้มครองจากเทวดาจะต้องเป็นผู้มีบุญ

ขอยกตัวอย่าง ดังเช่น พระโพธิสัตว์ในอดีตชาติท่านก็มีเทวดารักษาคุ้มครอง ดังเช่นเรื่องพระมหาชนก ก็มีนางมณีเมขลา ผู้เป็นเทวดาคอยช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองเป็นประจำกับตัวพระโพธิสัตว์ หรือเรื่องสังขพราหมณ์ พระโพธิสัตว์ก็มีเทวดาคอยรักษาคุ้มครอง จะเห็นได้ว่าต้องเป็นผลของบุญและเป็นผู้มีบุญมากจึงจะมีเทวดารักษา เพราะถ้าไม่มีบุญจะมีเทวดาหรือบุคคลใดรักษาไม้่ได้เลยครับ จึงเป็นเรื่องของกรรมดีที่ทำไว้นั่นเอง

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...

พระโพธิสัตว์มีเทวดาคอยรักษา [สังขพราหมณจริยา]

ดังนั้นเทวดาประจำตัวที่คอยรักษาบุคคลใด บุคคลหนึ่งมีอยู่ ดังเช่นที่ผมเปรียบเทียบว่าแม้ในโลกนี้ก็มีคนที่คอยช่วยเหลือก็มีอยู่ อันเกิดจากกรรมดีทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเทวดาประตัวรักษา เพราะไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องมีบุญมาก ผู้ที่สะสมบุญมามากเท่านั้นจึงจะมีคนที่คอยรักษาเพราะบุญของบุคคลนั้นทำมา ดังเช่นพระโพธิสัตว์ บุญไม่สาธารณะกับทุกคนที่ไม่ได้สะสมอุปนิสัยหรือความดีมา เพราะฉะนั้น การมีคนรักษา มีเทวดาปกป้องคุ้มครองก็ไม่สาธารณะกับทุกคนเช่นกันครับ ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องของกรรมและผลของกรรมจริงๆ ครับ ในการที่จะมีการรักษา ไม่มีการักษาบุคคลนั้นครับ

ดังนั้น เทวดาประจำตัวจึงไม่ใช่มีทุกคนที่จะมาปกป้องรักษา เพราะเทวดาก็ย่อมรักษาคนที่มีคุณธรรมสูง เป็นคนดีมีพระโพธิสัตว์ เป็นต้น ที่สำคัญเป็นเรื่องของกรรมทั้งสิ้น

แต่ข้อคิดที่สำคัญคือว่าหากเรามั่นคงในสัจจะแล้ว ไม่มีใครรักษาเราได้นอกจากกรรมของเราเอง เมื่อมีเหตุปัจจัย แม้มีเทวดาคอยรักษาอยู่ เทวดานั้นก็หลงลืมที่จะไม่ได้ปกป้องรักษาได้ เพราะอะไร เพราะกรรมไม่ดีให้ผลนั่นเอง ดังเช่น สังขพราหมณ์เรือแตก ตกทะเล ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 ให้นางมณีเมขลาที่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตั้งไว้ให้ดูแล แต่ ๗ วันนั้นหลงลืมไม่ได้ดูพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงต้องว่ายน้ำอยู่ในทะเล ๗ วัน นี่แสดงให้เห็นว่าหากกรรมไม่ดีให้ผลใครก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่เมื่อกรรมดีให้ผล ก็มีสิ่งต่างๆ คอยช่วยเหลือครับ ดังนั้น พุทธบริษัทจึงต้องมั่นคงในเรื่องของกรรม ไม่มีใครทำร้ายหรือรักษาเราได้นอกจากบุญและบาปที่เป็นกรรมที่เราทำเองครับ จึงไม่ควรประมาทในอกุศลแม้เพียงเล็กน้อยและเจริญกุศลทุกๆ ประการ และ อบรมปัญญาครับ

2. รูปของเหล่าเทวดานั้น มี 28 รูป และมีมหาภูตรูป เหมือนหรือแตกต่างกับมนุษย์อย่างไร

รูปทั้งหมด มี ๒๘ รูป แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะต้องมี ๒๘ รูป ครับ อย่างเช่น มนุษย์ที่พิการ ไม่มีเพศเลย ก็ไม่มี ภาวะรูปเลย ก็มีเพียง ๒๗ รูปก็ได้ ส่วน ถ้าเป็นผู้ชายก็มี ปุริสภาวรูป รวมทั้งหมด เป็น ๒๗ รูป ถ้าเป็นผู้หญิง ก็มี อิตถีภาวะรูป แต่ ไม่มีปุริสภาวะรูป ก็มี ๒๗ รูป เช่นกัน

ส่วนในภพภูมิที่เป็นเทวดา ก็เป็นโดยนัยเดียวกัน มี ๒๗ รูป ถ้าเป็นเทพบุตร ที่มีปุริสภาวะรูป แต่ไม่มีอิตถีภาวะรูป ถ้าเป็นเทพธิดา ก็มี ๒๗ รูป ที่ไม่มีปุริสภาวะรูปแต่มี อิตถีภาวะรูป ครับ

ซึ่งในความต่างกันของรูปใน มนุษย์ กับ สวรรค์นั้น ที่ประชุมรวมกัน อันบัญญัติว่าเป็นมนุษย์กับเทวดา ในความเป็นจริงการเกิดเป็นเทวดา เป็นภพภูมิที่เกิดจากกุศลที่ประณีตกว่ามนุษย์ เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดจากกรรม ก็จึงประณีตกว่า มนุษย์ แม้จะมีรูปอย่างเดียวกัน แต่ ความหยาบ ละเอียดต่างกัน เช่น จักขุปสาทรูป ที่เป็นรูปที่เกิดจากกรรม (ตา) เทวดาย่อมละเอียด ประณีต ผ่องใส กว่ามนุษย์เพราะเกิดจากกรรมที่เป็นกุศลกรรรมที่ประณีตกว่า ทำให้การมองเห็น เห็นได้ไกลกว่า ดีกว่า เป็นต้น และ รูปอื่นๆ ก็โดยนัยเดียวกัน เช่น โสตปสาทรูป (หู) เป็นต้น ครับ

หากแต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปที่ละเอียด หรือ หยาบอย่างไร รูปก็ยังเป็นรูปเสมอ คือ เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์เหมือนกัน ทั้งเทวดา และ มนุษย์ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pronpot
วันที่ 8 พ.ค. 2556

ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างครับ อยากถามเรื่องปฏิบัติ

การรู้ชัด สติจะต้องระลึก รูปทั้งหมด เจตสิกทั้งหมดหรือไม่ รู้สึกว่าระลึกถึงเจตสิกนั้นยาก ในปัญจวิถีสติผมระลึกรูปารมณ์ และสภาพรู้ ถามว่าสติสามารถระลึกเจตสิกทั้งหมดหรือไม่ ในมโนวิถีผมระลึกอุเบกขาลักษณะไม่หวั่นไหวในสิ่งที่กระทบไม่ทราบว่าเป็นปัญญาหรือไม่ สภาพธรรมที่วิมังสาเป็นอธิปติเป็นอย่างไร ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 8 พ.ค. 2556

เรียนความเห็นที่ 2 ครับ

การรู้ชัดสติจะต้องระลึก รูปทั้งหมด เจตสิกทั้งหมดหรือไม่ รู้สึกว่าระลึกถึงเจตสิกนั้นยาก

-แล้วแต่ สติ และ ก็ไม่จำเป็นจะต้องเกิด สติปัฎฐาน ระลึกรู้ เจตสิกทั้งหมด รูปทั้งหมด ครับ แล้วแต่ว่า สติจะเกิดระลึกรู้ในสภาพธรรมใด และก็แล้วแต่ระดับปัญญาของแต่ละท่านที่จะระลึกรู้ความละเอียดของรูป และ นาม ที่เป็นจิต เจตสิกได้มากกว่ากัน ครับ

ในปัญจวิถีสติผมระลึกรูปารมณ์ และสภาพรู้ ถามว่าสติสามารถระลึกเจตสิกทั้งหมดหรือไม่

-ทางปัญจทวาร มีรูปเป็นอารมณ์เท่านั้น ไม่มี จิต เจตสิก เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น สติ เกิดทางปัญจทวาร จึงมีแต่ รูปเป็นอารมณ์ ไม่มี จิต เจตสิกเป็นอารมณ์ ครับ

ในมโนวิถีผมระลึกอุเบกขาลักษณะไม่หวั่นไหวในส่ิงที่กระทบ ไม่ทราบว่าเป็นปัญญาหรือไม่

-พระธรรมละเอียดลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะ การเจริญสติปัฏฐาน ถ้ายังสงสัยอยู่ว่า ใช่หรือ ไม่ใช่ ก็ยังไม่ใช่ปัญญา ซึ่งสำคัญ คือ รู้ลักษณะสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ที่กำลังปรากฎ เช่น สี เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส เห็น ได้ยิน เป็นต้น ส่วนการจะรู้ลักษณะอุเบกขา ที่เป็นเจตสิกนั้นยาก และ ละเอียดมาก หากยังไม่รู้สภาพธรรมที่หยาบ ที่กำลังมีในชีวิตประจำวัน ก็ยากที่จะรู้ลักษณะอุเบกขา โดยเฉพาะอุเบกขา ที่เป็นความไม่หวั่นไหว ด้วยปัญญา ครับ

สภาพธรรมที่วิมังสาเป็นอธิปติเป็นอย่างไร

-วิมังสา หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นปัญญา วิมังสา อธิปติ หมายความถึงธรรมที่เป็นหัวหน้า เป็นธรรมที่ชักจูงให้สภาพธรรมอื่นเกิดขึ้น และเป็นไปตามกำลังของตนซึ่ง ขณะที่มีปัญญาเป็นหัวหน้า มีกำลัง ที่ วิมังสา เป็นอธิปติ คือ ขณะที่ปัญญาเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 9 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 9 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น -

ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนใดของคำสอนย่อมเป็นเครื่องเตือนที่ดี เพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจถูก เห็นถูก มีความประพฤติที่ดีงามทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ จนกระทั่งสูงสุด เพื่อความเป็นผู้หมดจดจากกิเลส สิ่งที่ควรรู้ความศึกษาที่สุด คือ พระธรรมจะเห็นได้ว่าตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ การเวียนว่ายตายเกิด ย่อมมีอยู่ตราบนั้นไม่เป็นสุคติภูมิก็เป็นทุคติภูมิ ตามกรรม และการเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น ไม่ยั่งยืนเลย สั้นมาก เป็นที่พักชั่วคราว พักแล้วก็ต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ดังนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พร้อมทั้งประพฤติธรรม คือ กุศลประการต่างๆ เพราะภูมิมนุษย์เป็นภูมิที่เอื้ออำนวยให้สามารถเจริญกุศลได้ทุกๆ ประการ ทั้งในเรื่องของการให้ทาน รักษาศีล การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น การอ่อนน้อมถ่อมตน การฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เป็นต้น เพราะถ้าเทียบกันระหว่างกุศลกับอกุศลแล้ว กุศลย่อมดีกว่าอกุศล กุศล นำมาซึ่งความแช่มชื่นแห่งจิต ไม่นำมาซึ่งความเดือดร้อนเป็นที่พึ่งได้จริงๆ ที่ได้รับสิ่งที่ดี น่าใคร่น่าพอใจในชีวิตประจำวัน ก็เป็นเพราะได้กระทำเหตุที่ดี คือ กุศลกรรมไว้ นั่นเอง กุศล ความดีประการต่างๆ เท่านั้น ที่จะเป็นเครื่องรักษาไม่ให้ตกไปในฝ่ายต่ำ

และรักษาให้ได้รับผลที่ดีน่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ ซึ่งถ้าหากไม่มีความดีแล้ว ผลที่ดี ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ใครๆ ก็ไม่เข้ามาช่วย ที่มีการกล่าวว่า มีคนนั้นคนนี้แข้ามาช่วยเหลือก็ต้องย้อนไปที่เหตุจริงๆ คือ เพราะกรรมดีที่ได้กระทำแล้วถึงคราวให้ผล ผลจึงเกิดขึ้น

ถ้าหากมีความเข้าใจว่า เทวดา ซึ่งเป็นผู้ที่เกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ ซึ่งมีด้วยอำนาจของกุศลกรรม มีจริง ทำให้มีความมั่นคงในเหตุในผล เกื้อกูลให้มีความละอายมีความเกรงกลัวที่จะถอยกลับจากอกุศล แล้วมีความตั้งมั่นในกุศลธรรม ยิ่งๆ ขึ้นไป อย่างนี้ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์กว่า แทนที่จะไปคิดให้เทวดามาคุ้มครอง หรือ มีเทวดาประจำตน ก็เปลี่ยนเป็นปรารภเทวดาแล้ว เป็นผู้มีความเจริญยิ่งขึ้นในกุศลธรรม ครับ

-ความเกิดขึ้นเทวดา ซึ่งเป็นโอปปาติกกำเนิด เกิดโตทันที มีรูปธรรมซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย เกิดทันที ๗ กลาปะหรือ ๗ กลุ่ม ได้แก่ หทยทสกกลาป ๑ กายทสกกลาป ๑ ภาวทสกกลาป ๑ จักขุทสกกลาป ๑ โสตทสกกลาป ๑ ฆานทสกกลาป ๑ ชิวหาทสกกลาป ๑ ซึ่งเมื่อประมวลแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากรูป ๒๘ รูป มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม พร้อมกับรูปอื่นๆ ด้วย เป็นต้น ซึ่งแสดงถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ จริงๆ ไม่มีสัตว์ บุคคลตัวตนเลย แม้แต่น้อย มีแต่ธรรมเท่านั้น

-ที่จะมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ก็ต้องอาศัยการสะสม ความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่า ปัญญาจะเจริญขึ้นมากได้ ก็มาจากการสะสมทีละเล็กทีละน้อยนี่เอง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 9 พ.ค. 2556

คนที่มีคุณธรรม รักษาศีล เทวดาก็คุ้มครอง เช่น อุบาสก คนหนึ่งมีคุณธรรมเรือแตกพญานาค ก็เนรมิตเป็นเรือให้อุบาสกขึ้นเรือ และเทวดา ก็แปลงเป็นต้นหน นำทางในเรือค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pronpot
วันที่ 9 พ.ค. 2556

ขอขอบคุณครับที่ให้ความกระจ่าง ช่วงนี้ฟังพระธรรมจาก อ.สุจินต์มากกกว่าแต่ก่อน ครับก่อนหน้าอาจกังวลเรื่องงาน การหาเลี้ยงชีพทำให้ขาดช่วงไป การเข้าใจพระธรรมทำให้ผมทำกุศลอย่างอืีนง่ายดาย และมีคุณภาพมากขึ้น เทวตานุสตืเกิดขึันบ่อย ครับ เช่นระลึกคุณความดีท้าวสหับดีพรหม ท้าวสักกะ และท้าวจตุโลกบาล แต่เป็นที่น่าเสียดายผมไปทำบุญตามวัดบ่อยๆ ส่วนใหญ่มีแต่รูปพระพิฆเนศ ล่าสุดผมได้ถามหลวงพ่อ สำนักหนึ่งที นครปฐม

เหตุใดท่านไม่สร้างรูป ท้าวสหัมบดีพรหม หรือ ท้่าวสักกะ เพื่อให้ประชาชนได้รู้ถึงความดีท่าน ไฉนท่านถึงสร้างพระพิฆคเนศทรงตัวต่อซึ่งเป็นเทพศาสนาพราหม์ คำตอบคือพุทธกับ พราหม์แยกกันไม่ออกยังอยู่ในโลกธรรม และมีนิมิตรให้สร้าง

ต้องขอขอบคุณ อ สุจินต์ ซึ่งผมยังไม่มีโอกาสพบท่านและทุกท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 11 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
กลุ่มเสวณาธรรม
วันที่ 11 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาเจ้า

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
จิตและเจตสิก
วันที่ 3 พ.ค. 2560

สาธุ ขออนุโมทนา ฯ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ