การแผ่เมตตา

 
pronpot
วันที่  10 พ.ค. 2556
หมายเลข  22881
อ่าน  3,087

1 .เข้าใจว่าผู้ที่จะแผ่เมตตานั้นต้องเข้าถึง อัปปนา แล้วแผ่ให้สัตว์ บุคคล อยากทราบว่า สัตว์ บุคคลนั้น จะได้รับผลอย่างไร เหมือนหรือแตกต่าง กับผู้อนุโมทนา เมื่อผู้อื่น อุทิศบุญให้

2.ผมอุทิศบุญให้กับ ท่านพระยายมราช และนายนริยบาล ไม่ทราบว่าท่านจะไดรับหรือไม่ และ กรรมอะไรที่ทำให้ไปบังเกิดเป็น

3. เท่าที่ทราบ ตอนที่พระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีในชาดก ส่วนใหญ่เป็น ดาบส ไม่ทราบว่ามีพระชาติใดบางที่ท่าน เจริญสติปัฐาณ หรือวิปัสสนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1 .เข้าใจว่าผู้ที่จะแผ่เมตตานั้นต้องเข้าถึง อัปปนา แล้วแผ่ให้สัตว์ บุคคล อยาก

ทราบว่า สัตว์ บุคคลนั้น จะได้รับผลอย่างไร เหมือนหรือแตกต่าง กับผู้อนุโมทนา

เมื่อผู้อื่น อุทิศบุญให้

- การแผ่เมตตา คือ การที่แผ่เมตตาไปในสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง อันเกิดจากกำลัง

ของการเจริญเมตตาฌานที่มีกำลังถึงอัปนาสมาธิแล้ว ซึ่งเหตุผลที่สำคัญของการ

เจริญเมตตาที่ได้ฌาน เพื่อถึงความสงบจากกิเลส ที่เป็นอกุศลที่เกิดขึ้นในชีวิต

ประจำวันเป็นสำคัญ ซึ่ง ผู้ที่ได้รับการแผ่เมตตา เช่น สัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่จำเป็นจะ

ต้องได้รับผลของการแผ่เมตตาของผู้อื่น เพราะ กุศลของใครก็ของคนนั้น ไม่เกี่ยว

ข้องกัน หากแต่ว่าถ้าผู้ที่ได้รับการแผ่เมตตา สามารถรู้คือ ล่วงรู้ถึงผู้อื่นว่า ผู้ที่กำลัง

แผ่เมตตามีกุศลจิตที่หวังดีย่อม ย่อมจะเป็นปัจจัยให้บางบุคคล ไม่ใช่ทุกคนคือ เกิด

กุศลจิต ที่ผู้อื่นหวังดีก็เกิดจิตเมตตาด้วยเช่นกันก็ได้ แต่ก็ไมได้หมายความว่าทุกคน

เมื่อรู้แล้ว จะเกิด กุศลจิต ที่มีเมตตาตอบ ก็แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล อย่าง

เช่น ในพระสูตรหลายๆ พระสูตร ขอยกตัวอย่าง ที่ พระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านถูกงูกัด

มรณภาพ พระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่อง ได้กล่าวกับพระภิกษุทั้งหลายว่า เพราะ เธอ

ไม่ได้เจริญเมตตา แผ่เมตตาไปในพญางูทั้งหลาย หากว่าเธอมีเมตตา ในพญางู

งู ย่อมไม่เบียดเบียนเธอเลย จากเรื่องนี้ แสดงว่า หากมีเมตตาที่มีกำลังจนได้ฌาน

และ แผ่เมตตาในสัตว์ทั้งหลาย หาก สัตว์เหล่านั้นทราบ ย่อมมีเมตตาในบุคคลที่

แผ่เมตตาก็ได้ ครับ หรืออีกเรื่องหนึ่ง ที่พระภิกษุอาศัยอยู่ในราวป่า เทวดาต่าง

ก็แปลงเป็นผีมาหลอกหลอน พระพุทธเจ้าให้เจริญเมตตา แผ่ไปในเทวดาทั้งหลาย

ต่อมา เมื่อ พระภิกษุทั้งหลายเจริญเมตตา ในสัตว์ทั้งหลาย และ กับเทวดาเหล่านั้น

เทวดา ทราบถึงไมตรีจิต จึงเกิด จิตที่เป็นกุศลตอบ คือ เกิดเมตตาในเหล่าพระภิกษุ

จึงอารักขาพระภิกษุ ที่ท่านกำลังประพฤติธรรมในป่า ครับ

จากตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่า การแผ่เมตตาไปในสัตว์อื่น กุศลจิตของผู้แผ่

ไม่่ได้ทำให้ สัตว์อื่น จะได้รับผลของกุศล แต่ อาจทำให้เกิดกุศลจิตในสัตว์อื่นได้

ถ้าสัตว์เหล่านั้นรับรู้

ส่วนการอุทิศส่วนกุศล เหมือนกับ การแผ่เมตตา คือ เกิดกุศลจิตกับตัวผู้นั้นเอง

คือ ผู้อุทิศ และ ผู้ที่แผ่เมตตา ครับ แต่ส่วนที่แตกต่างกัน คือ การอุทิศส่วนกุศล

ผู้ที่ได้รับการอุทิศ เกิดจิตอนุโมทนา และ ต้องเป็นภพภูมิที่รับได้ คือ เปรต หรือ

เทวดา เมื่อเขารับรู้ เกิดจิตอนุโมทนาคือ เกิดกุศลจิตของตนเอง ย่อมได้รับผลวิบาก

ในขณะนั้น เช่น ทำให้ได้รับอาหาร ได้รับผ้าอย่างดี หรือ ทำให้ได้รับวิบาก เปลี่ยน

ภพภูมิใหม่เกิดในสคติภูมิ แต่ ถ้าเป็นการแผ่เมตตา ผู้ที่ถูกแผ่ไม่ได้รับผลของวิบาก

ที่จะได้อาหาร ได้รับผ้า หรือ เปลี่ยนภพภูมิที่ดีขึ้น ครับ เพียงแต่สามารถเกิดกุศลจิต

ที่คนอื่นหวังดี หากผู้นั้นรับรู้ในการแผ่เมตตา ครับ

----------------------------------------

2.ผมอุทิศบุญให้กับ ท่านพระยายมราช และนายนิรยบาล ไม่ทราบว่าท่านจะไดรับ

หรือไม่ และ กรรมอะไรที่ทำให้ไปบังเกิดเป็น

- แล้วแต่ว่าท่านเหล่านั้นจะรับรู้หรือไม่ ถ้าท่านรับรู้ก็ท่านก็ได้รับเกิดจิตอนุโมทนา

ได้ ดังเช่น ในพระไตรปิฎก ก็มีผู้อทิศให้พญายมก็มี ครับ ดังข้อความต่อไปนี้

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒- หน้าที่ 205

ส่วนผู้ใด ย่อมระลึกไม่ได้ด้วยเทวทูตทั้ง ๕ พญายมให้ผู้นั้น ระลึกได้เอง.

ได้ยินว่า อำมาตย์คนหนึ่ง บูชาหาเจดีย์ด้วยหม้อดอกมะลิ ได้ให้ ส่วนบุญแก่

พญายม. นายนิรยบาล นำอำมาตย์นั้นผู้เกิดในนรกเพราะอกุศลกรรม ไปหาพญายม.

เมื่ออำมาตย์นั้น ระลึกไม่ได้ ด้วยเทวทูตทั้ง ๕ พญายมตรวจดูเองเห็นแล้วให้ระลึก

ว่าท่านบูชามหาเจดีย์ด้วยหม้อดอกมะลิแล้ว แผ่ส่วนบุญให้เรามิใช่หรือ. เขาระลึก

ได้ในเวลานั้นแล้ว ไปสู่เทวโลก

--------------------------------------

3. เท่าที่ทราบ ตอนที่พระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีในชาดก ส่วนใหญ่เป็น ดาบส ไม่

ทราบว่ามีพระชาตใดบางที่ท่าน เจริญสติปัฏฐาณ หรือวิปัสสนา

- หากเข้าใจความจริงที่ว่า การอบรมปัญญามา ไม่ใช่เพียงชาตินี้ชาติเดียว แต่ต้อง

อบรมปัญญามามากมายนับชาติไม่ถ้วน และ ต้องบำเพ็ญบารมี คือ บารมี 10 มี

ปัญญาบารมีด้วย นับชาติไม่ถ้วนเช่นกัน และ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ต้องเคย

อบรมปัญญา ศึกษาพระธรรมในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มานับชาติไม่ถ้วน

ดังนั้น ก็จะต้องมีการอบรมวิปัสสนา สติปัฏฐานด้วยเป็นธรรมดา ส่วนในชาดกโดย

มากจะกล่าวถึงการเจริญฌานเป็นดาบส เป็นต้น แต่ เมื่อย้อนไปในสมัยอดีตชาติ

เช่น สมัย พระโพธิสัตว์ที่เกิดเป็นโชติปาละ ในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ ท่านโชติ-

ปาละ ก็ออกบวช และ ศึกษา อบรมปัญญาในพระศาสนาสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ

ท่านก็ต้องได้เจริญวิปัสสนา สติปัฏฐานบ้างแน่นอน ครับ

แต่ถ้าพูดถึงชาติที่ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า เป็นการยากที่จะเกิด สติปัฏฐาน

เพราะ ไม่สามารถเกิดได้ด้วยตนเอง นอกเสียจากได้ฟังพระธรรมที่พระพุทธเจ้า

หากแต่ว่าชาติที่เกิด สติปัฏฐาน วิปัสสนาเอง โดยไม่ได้ฟังจากใคร พระโพธิสัตว์

ย่อมเกิด วิปัสสนา สติปัฏฐานเอง ในพระชาติสุดท้าย ที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า

และ ก็บรรลุธรรม โดยไม่ได้ฟังจากใครเลย แต่ พระองค์ก็ได้สะสมสติปัฏฐาน

ปัญญาในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มาแล้ว ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 12 พ.ค. 2556

ขอขอบคุณและอนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 12 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-สิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ว่า เมตตา เป็นธรรม

เมตตา เป็นสภาพธรรมที่ดีงามที่เกิดขึ้นในขณะที่มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อน มีความหวังดี มีความปรารถนาดี ต่อบุคคลอื่น การที่เมตตาจะมีหรือจะเกิดขึ้นจนมีกำลังยิ่งขึ้นในจิตของแต่ละบุคคลได้นั้น ต้องอาศัยการศึกษาและอบรม เพราะเมตตา ไม่ใช่เรื่องแผ่ ไม่ใช่เรื่องท่อง แต่สามารถอบรมเจริญได้ทันที มีเมตตา เป็นมิตร เป็นเพื่อนกับทุกคนได้ทันที

บุคคลผู้ที่เป็นมิตรกับทุกคน มีความรู้สึกสนิทสนมด้วยความจริงใจ ก็ย่อมจะเป็นผู้มีกรุณา เวลาที่บุคคลทั้งหลายประสบความทุกข์เดือดร้อน แล้วย่อมเป็นผู้มีมุทิตา เวลาที่บุคคลอื่นประสบกับความสุขความเจริญหรือความสำเร็จและถ้าไม่สามารถที่จะเกื้อกูลได้ หรือแม้ว่าจะได้ทำประโยชน์เกื้อกูลแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ บุคคลนั้นก็ยังเป็นผู้ไม่ขุ่นเคืองใจเพราะรู้ว่าแล้วแต่เหตุปัจจัยหรือกรรมของบุคคลนั้น ก็สามารถที่จะอบรมเจริญอุเบกขา (ความเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปด้วยอำนาจของอกุศล) ได้ เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า เมตตา เป็นกุศลธรรมที่ควร

อบรมเจริญขึ้นในชีวิตประจำวัน นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ตนเองแล้ว ยังเป็น

ประโยชน์เกื้อกูลต่อบุคคลอื่นได้ด้วย และประการที่สำคัญ เมตตา จะเป็นพื้นฐานให้

กุศลธรรมประการอื่นพลอยเจริญขึ้นด้วย ซึ่งกุศลธรรมนี้เองจะเป็นมิตรแท้ เป็นเพื่อน

แท้ ที่คอยจะนำแต่ประโยชน์เกื้อกูลมาให้ ไม่นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้เลย

แม้แต่น้อย ซึ่งจะต่างจากอกุศลธรรม อย่างสิ้นเชิง

-จุดประสงค์ของการอุทิศส่วนกุศล ก็เพื่อให้บุคคลอื่นได้ร่วมอนุโมทนาซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลจิตของบุคคลอื่นเกิดได้ กุศลจิตที่อนุโมทนาย่อมเป็นกุศลของผู้อนุโมทนาเอง

-พระโพธิสัตว์ กว่าที่พระองค์จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น พระองค์

ต้องบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดระยะเวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นระยะเวลา

ที่ยาวนานมาก ซึ่งแต่ละขณะชีวิตของพระองค์ที่ดำเนินไปนั้น ก็เป็นจิตแต่ละขณะๆ

เกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย แต่เป็นไปกับด้วยการสะสมบารมีประการต่างๆ

จนกว่าจะถึงความบริบูรณ์สมบูรณ์พร้อมในที่สุด ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 12 พ.ค. 2556

การแผ่เมตตา ต้องสำหรับคนที่เจริญเมตตา ให้กับคนที่ได้ฌาน เมตตา ถึง จะมีกำลัง

แผ่ไปได้ทั่ว ส่วนคนที่ได้รับการแผ่ ก็เกิด จิตเมตตาได้ เช่น พระเทวทัต ปล่อยช้างจะ

ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า มีจิตแผ่เมตตาไปในช้าง ทำให้ช้างนั้นสงบ ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ