เพราะอุปาทานมี ตัณหา จึงมี

 
govit2553
วันที่  14 พ.ค. 2556
หมายเลข  22904
อ่าน  2,439

จากที่มักจะยกมากล่าวกันคือ

ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี ตัณหาจึงมี อุปาทานจึงมี ภพจึงมี

แต่บางส่วน เรื่องปฏิจจสมุปบาท มีลักษณะย้อนกลับ ก็มีเช่น

นามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี

วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี

สำหรับคนที่คร่ำหวอด อยู่ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท และพระไตรปิฏก

ผมขอถามว่า มีการวนกลับ แบบนี้ หรือไม่ครับ

คือ เพราะอุปาทานมี ตัณหาจึงมี

ขอบคุณล่วงหน้าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปฏิจจสมุปบาท เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นด้วยดี คือเป็นไปตามลำดับโดยอาศัยปัจจั

หมายถึง สภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลที่ทำให้เกิดสังสารวัฏฏ์ เป็นการแสดงเรื่องของ

ปัจจัย (เหตุ) และปัจจยุบบัน (ผล)

ปฏิจจสมุปบาทมีองค์ ๑๒ คือ ...

๑. อวิชชา ๒. สังขาร ๓. วิญญาณ ๔. นามรูป

๕. สฬายตนะ ๖. ผัสสะ ๗. เวทนา ๘. ตัณหา๙. อุปาทาน ๑๐. ภพ ๑๑. ชาติ ๑๒. ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข์ โทมนัส อุปายาส

ความเป็นปัจจัยของปฏิจจสมุปบาท คือ ...

๑. อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร๒. สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณ๓. วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป๔. นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬายตนะ๕. สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด ผัสสะ๖. ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา๗. เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา๘. ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน๙. อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ๑๐. ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ๑๑.ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

การแสดงตามลำดับ ตามที่กล่าวมา จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา

แต่ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย

ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลม

เทศนา ซึ่งก็สามารถกล่าวได้ เช่นกัน ครับ

พระธรรมของพระพุทธเจ้า ทรงแสดงหลากหลายนัย เพื่อให้เหมาะกับอุปนิสัย

ของสัตว์โลกที่แตกต่างกัน ว่า ใครเข้าใจโดยนัยไหน ก็เข้าใจตามนัยนั้น แต่ ไม่

ว่าจะแสดงโดยนัยใด ก็แสดงถึงความจริงของสภาพธรรมที่เป็นจริงอย่าง ที่อาศัย

ความเป็นปัจจัย อันแสดงถึงความมไ่มีสัตว์ บุคคล มีแต่ธรรม ที่อาศัย กัน และ กัน

เกิดขึ้น

การศึกษาธรรม อบรมปัญญา เป็นหนทางที่จะละ ความเป็นไปของสภาพธรรมที่

เป็นปฏิจจสมุปบาทได้ ในที่สุด ถึงการดับอวิชชา ดับกิเลสหมดสิ้น ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
govit2553
วันที่ 14 พ.ค. 2556

เจอแล้วครับ พระพุทธองค์ถึงว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท นี่ยากจริงๆ

[๓๔๑] ในสมัยนั้น สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

อวิชชา เกิดแม้เพราะสังขารเป็นปัจจัย

วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย

สังขารเกิดแม้เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย

นามเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย

วิญญาณเกิดแม้เพราะนามเป็นปัจจัย

ผัสสะเกิดเพราะนามเป็นปัจจัย

นามเกิดแม้เพราะผัสสะเป็นปัจจัย

เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย

ผัสสะเกิดแม้เพราะเวทนาเป็นปัจจัย

ตัณหาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย

เวทนาเกิดแม้เพราะตัณหาเป็นปัจจัย

อุปาทานเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย

ตัณหาเกิดแม้เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย

ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย ชรา มรณะเกิดเพราะ

ชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้

//www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=35&A=4664&w=%CD%D8%BB%D2%B7%D2%B9

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 14 พ.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นด้วยดี คือเป็นไปตามลำดับโดย

อาศัยปัจจัยเป็นธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น เป็นเหตุ เป็นผลที่ทำให้สังสารวัฏฏ์

เป็นไปทรงแสดงถึงเหตุและผลที่เกิดจากเหตุ ปฏิจจสมุปบาทไม่พ้นไปจากสภาพ-

ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป เป็นจิต เจตสิก และ รูป เมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว เพราะมี

อวิชชาคือ ความไม่รู้ จึงเป็นเหตุให้มีการกระทำที่เป็นบุญบ้างเป็นบาปบ้าง ซึ่งจะเป็น

เหตุให้เกิดในภพต่อไป มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ทำให้สังสารวัฏฏ์ยืดยาว

ต่อไปปฏิจจสมุปบาทมีทั้งส่วนที่เป็นกิเลส กรรม และ วิบาก แม้แต่ในขณะนี้ ก็เป็น

ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นจิต เจตสิก และรูป ที่พระสัมมาสัม

พุทธเจ้าทรงแสดงโดยนัยที่อาศัยกันเกิดขึ้นโดยปัจจัยต่าง ครับ

หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์ดับกิเลสเป็นเหตุ

ให้สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์ได้ในที่สุด ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 14 พ.ค. 2556

ธรรมที่เป็นปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่สืบเนื่องกัน เพราะเหตุนี้มี สิ่งนี้จึงมี ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ