สุวัณณนาคาถาวัณณนา คาถาที่ ๑๔.. การอยู่เป็นหมู่ การอยู่คนเดียว

 
pirmsombat
วันที่  14 พ.ค. 2556
หมายเลข  22905
อ่าน  1,156

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 177

คาถาที่ ๑๔

คาถาว่า ทิสฺวา สุวณฺณสฺส ดังนี้ มีอุบัติอย่างไร?

พระเจ้ากรุงพาราณสี พระองค์หนึ่ง เสร็จเข้าที่บรรทมในกลางวัน

ในคิมหสมัย และในพระราชสำนักของพระองค์ นางวรรณทาสีกำลังบด

จันทร์เหลืองอยู่ ในแขนข้างหนึ่งของนาง มีกำไลทองหนึ่งวง ในแขนอีกข้าง

หนึ่ง มีกำไลทองสองวง กระทบกัน กำไลทองหนึ่งวงนอกนี้ไม่กระทบ

พระราชาทรงเห็นเหตุนั้นแล้ว จึงทรงแลดูนางทาสีบ่อยๆ พลางทรงพระราชดำริว่า

ในการอยู่เป็นหมู่ย่อมมีการกระทบกัน

ในการอยู่คนเดียว ย่อมไม่มีการกระทบ

เหมือนอย่างนั้นแล.

โดยสมัยนั้น พระเทวีผู้ทรงประดับประดาด้วยเครื่องอลังการพร้อม

สรรพ์ ประทับยืนถวายงานพัดอยู่ พระนางทรงดำริว่า พระราชาชะรอยจะมี

พระหทัยปฏิพัทธ์ในนางวรรณทาสี ทรงให้นางทาสีนั้นลุกออกไป ทรงปรารภ

เพื่อจะทรงบดด้วยพระองค์เอง ในพระพาหาทั้งสองข้างของพระนางมีกำไลทอง

หลายวงกระทบกันเกิดเสียงดังมาก พระราชาทรงเอือมระอายิ่งขึ้น ทั้งที่บรรทม

ด้วยปรัศว์เบื้องขวา ทรงปรารภวิปัสสนา ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระปัจเจกโพธิญาณ.

พระเทวีทรงถือจันทน์ เสด็จเข้าเฝ้าพระราชาพระองค์นั้น ซึ่งบรรทม

เป็นสุข ด้วยความสุขอันยอดเยี่ยม ทูลว่า มหาราช หม่อมฉันจะไล้ทา

พระราชตรัสว่า ออกไป อย่าไล้ทา พระนางทูลว่า อะไร มหาราช ! พระราชา

ตรัสว่า เราไม่ใช่ราชา. อำมาตย์ทั้งหลายฟังการสนทนานั้น ของพระราชา

และพระเทวีนั้น อย่างนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้า พระราชาผู้อันอำมาตย์เหล่านั้น

ทูลเรียกด้วยวาทะว่า มหาราช จึงตรัสว่า แน่ะพนาย เราไม่ใช่ราชา. บทที่

เหลือเป็นเช่นกับ คำที่กล่าวแล้ว ในคาถาต้นนั้นแล. ส่วนคาถาวัณณนามี

ดังนี้ว่า

ทิสฺวา สุวณฺณสฺส ปภสฺสรานิ

กมฺมารปุตฺเตน สุนิฏฺฐิตานิ

สงฺฆฏฺฏมานานิ ทุเว ภุชสฺมึ

เอโก จเร ขคฺควิสาณกปฺโป

บุคคลแลดูกำไลทองสองอันงามผุดผ่อง

ที่บุตรแห่งนายช่างทองให้สำเร็จด้วยดีแล้ว

กระทบกันอยู่ในข้อมือ

พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด

ฉะนั้น ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวา ได้แก่แลดูแล้ว. บทว่า สุวณฺณสฺส

ได้แก่ ทองคำ. บาลีที่เหลือว่า วลฺยานิ เป็นคำที่นำมาเพิ่มเข้า เพราะอรรถ

ของคำที่เหลือ มีเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ปภสฺสรานิ ได้แก่

อันแพรวพราวเป็นปกติ อธิบายว่า มีแสงรุ่งเรือง. บทที่เหลือเป็นบทมีอรรถ

ตื้นทั้งนั้น.

ส่วนโยชนาดังนี้ว่า เราแลดูกำไรทองกระทบกันอยู่ในข้อมือ จึงคิดว่า

เมื่อมีการอยู่เป็นหมู่ ย่อมมีการกระทบกัน เมื่อมีการอยู่คนเดียว หากระทบ

กันไม่ จึงปรารภวิปัสสนา ได้บรรลุแล้ว. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

สุวัณณนาคาถาวัณณนาจบบริบูรณ์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 15 พ.ค. 2556

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้าที่ 573

ดูก่อนอานนท์ ภิกษุชอบความคลุกคลีด้วยหมู่ ยินดีในความคลุกคลี

ด้วยหมู่ ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่ ชอบหมู่

ยินดีในหมู่ บันเทิงในหมู่ ประกอบเนืองๆ ซึ่งความชอบหมู่ จักบรรลุ

ซึ่งเจโตวิมุตติอันมีในสมัย หรือซึ่งโลกุตรมรรคอันไม่กำเริบ อันไม่มีใน

สมัย ข้อนั้นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

ดูก่อนอานนท์ ส่วนภิกษุใด หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ภิกษุนั้น

พึงได้สุขนั้นสมหวัง คือจักบรรลุซึ่งเจโตวิมุตติอันมีในสมัย หรือซึ่ง

โลกุตรมรรคอันไม่กำเริบ อันไม่มีในสมัย ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้------------------------------------------------------------------------

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pirmsombat
วันที่ 15 พ.ค. 2556

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 16 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 16 พ.ค. 2556

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kinder
วันที่ 16 พ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pirmsombat
วันที่ 18 พ.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 18 พ.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
suppermarcro
วันที่ 5 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
orawan.c
วันที่ 26 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ