บุญ บาป หรือ ไม่บุญไม่บาป
เนื่องจากผมทำงานในโรงพยาบาล และรักษาผู้ป่วย มีข้อสงสัยว่า ถ้าหากรักษาคนไม่ดี เช่น ผู้ค้ายาเสพติด หรือ โจรผู้ก่อการร้าย ซึ่งเมื่อรักษาผู้ป่วยให้หายดีแล้ว คนกลุ่มนี้ต้องไปทำความเดือดร้อนให้กับสังคมอีก จึงอยากถามว่า
1. ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี จะได้บุญหรือ บาป หรือ ไม่ได้บุญไม่ได้บาป
2. ถ้ารู้แล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี จะได้บุญหรือ บาป หรือ ไม่ได้บุญไม่ได้บาป
เพราะผมต้องทำตามหน้าที่.............คนดี หรือไม่ดี ก็ต้องรักษา
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุญ หรือ กุศลเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ดี อันมีสภาพธรรมที่เป็นฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย และขณะนั้นก็ไม่มีอกุศลที่เป็นโลภะ โทสะและโมหะเกิดขึ้นเลยในขณะที่เป็นบุญครับ
บุญเป็นสภาพธรรมที่ชำระจิตให้สะอาด (เพราะโดยปกติแล้วจิตสกปรกด้วยอำนาจของอกุศลธรรม) ขณะที่เป็นบุญ ขณะนั้นจิตสะอาดจากอกุศล คือ โลภะ โทสะและโมหะบุญ หรือ สภาพจิตที่ดี ที่เป็นกุศล มีหลายประการ ตามระดับและลักษณะของบุญครับ
บุญกิริยาวัตถุ 10 หมายถึง ที่ตั้งแห่งการกระทำความดี ๑๐ อย่าง หมายถึง กุศลจิตที่มีกำลังจนทำให้มีการกระทำออกมาทางกาย วาจาหรือทางใจ ได้แก่ ...
๑. ทานมัย บุญสำเร็จจากการให้วัตถุเพื่อสงเคราะห์หรือบูชาแก่ผู้อื่น
๒. ศีลมัย บุญสำเร็จจากการงดเว้นจากทุจริต หรือประพฤติสุจริต ทางกาย วาจา
๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จจากการอบรมจิตให้สงบจากกิเลส (สมถภาวนา) และการอบรมปัญญาเพื่อละกิเลสทั้งปวง (วิปัสสนาภาวนา)
๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จจากการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จจากการขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น
๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จจากการให้ส่วนบุญที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว
๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จจากการยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว
๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จจากการฟังพระสัทธรรม
๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จจากการแสดงพระสัทธรรม
๑๐. ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความเห็นให้ตรงถูกต้องตามความเป็นจริง
ซึ่งขณะใดที่จิตใจเป็นไปใน บุญ 10 ประการนี้ ก็ชื่อว่าเป็นบุญ
หากเข้าใจถูกว่า บุญ คือ สภาพธรรมที่ดี ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง คือ จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้น จิต เจตสิก ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีสัตว์บุคคล เพราะมีแต่ธรรม และสามารถเกิดกับใครที่ไหนก็ได้เสมอ หากเหตุปัจจัยพร้อม เพราะฉะนั้น จากคำถามทั้งสองข้อที่ว่า
1. ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนไม่ดี จะได้บุญหรือบาป หรือ ไม่ได้บุญไม่ได้บาป
2. ถ้ารู้แล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี จะได้บุญหรือ บาป หรือ ไม่ได้บุญไม่ได้บาป
เพราะผมต้องทำตามหน้าที่.............คนดี หรือไม่ดี ก็ต้องรักษา
บุญ ก็ขึ้นอยู่กับเจตนา เช่นกัน หากมีเจตนาช่วยเหลือ อยากให้คนที่เป็นโรคหายโรค และ ทำการรักษา ขณะนั้น มีเจตนาดี และ มีการกระทำทางกาย มีการรักษา เป็นต้น ขณะนั้นก็เป็นบุญ เพราะมีจิตที่ดี และ มีการกระทำที่ดีด้วย เป็นบุญข้อที่ 5 ที่เรียกว่า เวยยาวัจจมัย บุญ คือ การช่วยเหลือ ซึ่ง แม้จะไม่รู้ว่าเป็นคนไม่ดี หรือ เป็นคนดี หากมีเจตนาช่วยเหลือก็เป็นบุญในขณะนั้น และ แม้รู้อยู่ว่าเป็นคนไม่ดี แต่มีเจตนาช่วยเหลือในขณะนั้น ทำการรักษา ก็เป็นบุญในขณะนั้น ส่วนการที่รู้ว่า ถ้าเขาหาย จะไปทำไม่ดี ก็ควรเข้าใจว่า สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมเป็นของๆ ตน เราไม่สามารถห้ามให้ใครทำดี หรือ ไม่ดี ได้ เมื่อเขาทำกรรมไม่ดี ก็เป็นกรรมไม่ดีของเขาเอง และคนอื่นที่ถูกกระทำก็แสดงว่าคนนั้นก็มีกรรมที่จะต้องถูกกระทำเช่นนั้น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาของเรา หน้าที่ของเรา ก็ทำตามหน้าที่ ทำตามอาชีพให้ดีที่สุด คือ การรักษาผู้ป่วย ไม่ว่าใคร เพราะ กุศลไม่ได้เลือกเลยว่าจะต้องทำกับคนดีเท่านั้น คนไม่ดีไม่ควรทำ กุศลไม่ได้เลือกชนชั้นวรรณะ สูง ต่ำ ดำ ขาว แต่ที่ใด เป็นที่ตั้งของกุศล ที่นั้นก็ควรเจริญไม่ว่ากับบุคคลใด ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิต มา ณ ที่นี้ด้วย ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยครับ
ก่อนอื่น ก็ต้องทราบความหมายของคำว่า บาป กับ คำว่า บุญ ก่อน
บาป คือ สภาพธรรมที่ไม่ดี ที่เป็นอกุศลธรรม กล่าวคือ ขณะใดที่อกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปนั้น ขณะนั้นไม่ดี เป็นบาป ไม่ใช่บุญอย่างแน่นอน ซึ่งบาป ก็มีระดับขั้นที่ต่างกันออกไป ที่เห็นได้ชัด คือ ขณะที่ล่วงเป็นทุจริตกรรม มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ เป็นต้น
ส่วน บุญ เป็นสภาพธรรมที่ชำระจิตให้สะอาด เป็นเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม ได้แก่ กุศลธรรมทั้งหลายทั้งปวง กล่าวคือ ขณะใดที่จิตเกิดขึ้นเป็นกุศล ขณะนั้นก็เป็นบุญ จะเรียกชื่อหรือไม่เรียกก็ตาม สภาพธรรมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น บุคคลผู้ที่ไม่มีทั้งบุญไม่มีทั้งบาป ก็คือ พระอรหันต์เท่านั้น ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็มีทั้งขณะที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง ตามการสะสมของแต่ละบุคคล
จากประเด็นคำถาม ก็พิจารณาได้ว่า คนไม่ดี ก็เป็นเรื่องของคนไม่ดี เป็นเรื่องของบุคคลนั้น ถึงแม้ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หน้าที่ของหมอคือรักษาคนไข้ ให้เขามีอาการที่ดีขึ้นจนกระทั่งหายเป็นปกติในที่สุด ในขณะนั้นสภาพจิตที่ดีงามก็เกิดขึ้นเป็นไปในการดูแลผู้ป่วย ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ก็เป็นบุญ ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของเราเป็นสำคัญ ไม่ใช่บุคคลอื่น
การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นการดี นอกจากจะช่วยเหลือรักษาทางด้านร่างกายให้เขาแล้ว ผู้ที่มีความเข้าใจธรรม ก็สามารถแนะนำให้เขามีความประพฤติที่ดีงาม ด้วยการให้ความเข้าใจธรรม เป็นข้อคิดเตือนใจที่ดีแก่ผู้นั้น ตามกำลังความเข้าใจของตนเอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไปในภายหน้าด้วย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลของคุณ makoto1982 และทุกๆ ท่านด้วยครับ...
เขาจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี เขาเป็นคนป่วยเราก็ต้องรักษาเขา เจตนาเราต้องการให้เขาหายป่วยหายทุกข์ เจตนาดีเป็นกุศลจิต ไม่มีเจตนาที่ให้เขาหายแล้วให้เขาไปทำชั่วค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"เราไม่สามารถห้ามให้ใครทำดี หรือ ไม่ดีได้"
กุศลไม่ได้เลือกเลยว่า จะต้องทำกับคนดีเท่านั้น คนไม่ดีไม่ควรทำ
กุศลไม่ได้เลือกชนชั้นวรรณะ สูง ต่ำ ดำ ขาว แต่ที่ใด
เป็นที่ตั้งของกุศล ที่นั้นก็ควรเจริญไม่ว่ากับบุคคลใด ครับ"
...ขออนุโมทนาในกุศลของคุณ makoto1982 และทุกๆ ท่านด้วยครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เหตุที่สมควรโกรธ ไม่มีในโลก แม้แต่กับคนเลวก็ไม่ควรโกรธ เพราะเพียงความขุ่นใจ ก็เป็นเราที่ขุ่นใจ ถ้าเราปฏิบัติดีกับคนดีเช่นไร กับคนไม่ดีก็ต้องได้รับการปฏิบัติดีเช่นกัน และทุกขณะก็ไม่เคยขาดจากธรรมได้เลย บังคับไม่ได้ การที่ต้องเจอคนดี เป็นผลของกุศลกรรม การที่ต้องพบเจอคนที่ไม่ดี ที่ไม่อยากเจอ ก็เป็นผลของอกุศลกรรมที่ต้องรับเช่นกัน ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีโจรมีแต่ธรรมมะ สิ่งที่ต้องทำ คือ สิ่งที่สมควร และ การรักษาผู้ป่วยอย่างเท่าเทียมเป็นคุณธรรมที่สมควรของผู้ให้การพยาบาล พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า แม้อกุศลเพียงเล็กน้อยก็ขออย่าได้เกิดกับใครเลย
ขออนุโมทนาในกุศลจิต มา ณ ที่นี้ด้วย ครับ