เห็นอยู่ที่ไหน
เห็นอยู่ที่ไหนจักขุปสาทอยู่ที่นั่น เพราะจิตเห็นเกิดที่จักขุปสาท เช่นเดียวกันกับได้ยินอยู่ที่ไหนโสตปสาทก็อยู่ที่นั่น ในชีวิตประจำวันก็ไม่พ้นจากทางตา ทางหู ... ในพระไตรปิฎกทุกคำก็ไม่พ้นขณะนี้ ทางตา ทางหู ... เห็นขณะนี้รู้ง่ายไหม สิ่งที่ปรากฏทางตากระทบได้เพียงจักขุปสาท เห็นจึงเกิดขึ้นเห็น เห็นเป็นธาตุรู้ อาศัยจักขุปสาทจึงเกิดขึ้น เห็นเป็นเพียงธาตุ ไม่มีใครเห็น ก็เป็นเพียงแต่ละหนึ่ง จะมีเราแต่ที่ไหน? หนทางเดียวที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราก็คือ การรู้แต่ละหนึ่งตามความเป็นจริง แต่ละหนึ่งจริงๆ จึงสามารถละคลายความเป็นเรา เห็นขณะนี้กำลังปรากฏแต่ก็ไม่รู้จัก เพราะรู้ได้ยากจึงต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจ เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ อบรมเจริญปัญญาให้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น ถ้าไม่รู้ความจริงของเห็น ได้ยิน ...แล้วจะไปนั่ง ไปคิดหาธรรม แล้วจะรู้อะไร ทั้งหมดก็ยังเป็นเรา เพราะฉะนั้น ฟังให้เข้าใจอย่างเดียวมิเช่นนั้นโลภมาอีกแล้ว พาไปทำอย่างอื่น แต่ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้เป็นปัญญา ปัญญารู้เฉพาะอย่าง รู้เฉพาะลักษณะลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่าง โลกในวินัยของพระอริยเจ้าจะปรากฏตามความเป็นจริง ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน มีแต่เพียงเห็น (ซึ่งเป็นธาตุรู้) ได้ยินเสียง (รูปธาตุ) ... แล้วเสียงจะเป็นเราได้อย่างไร ได้ยิน (ธาตุรู้) ก็ไม่ใช่เรา
ถ้าจิตยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่รู้สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ก็จะไม่สามารถจะละคลายความเห็นผิดที่ยึดสภาพธรรมตามความเป็นจริง ได้ยินเป็นได้ยิน เสียงเป็นเสียง เห็นเป็นเห็น ได้เลย มีเพียงปัญญาเท่านั้นที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ได้
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...