สุดยอดแห่งศาสตร์ทั้งปวง
นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า สุดยอดแห่งศาสตร์ทั้งปวง ได้อ่านเรื่องของฝรั่งจากอีเมล์ที่มีคนส่งต่อกันมา เรื่องมีว่า (แปลแบบงูๆ ปลาๆ )
ขณะบรรยายวิธีจัดการกับความเครียด นักจิตวิทยาสาวเดินไปรอบๆ ห้อง เมื่อเธอยกแก้วใส่น้ำขึ้น นักศึกษานึกในใจว่า เธอคงจะถามเกี่ยวกับ “Half … empty – Half … Full” (หมายความว่า น้ำตั้งครึ่งแก้ว – มองโลกในแง่ดี และ น้ำแค่ครึ่งแก้ว – มองโลกในแง่ร้าย) แต่นักศึกษาเหล่านั้นเดาผิด เพราะเธอถามว่า แก้วน้ำใบนี้หนักเท่าไร นักศึกษาต่างช่วยกันตอบระหว่าง 8 – 20 ออนซ์ เธอเฉลยว่า ความจริงแล้วน้ำหนักของแก้วไม่สำคัญ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการถือแก้วมากกว่า ถ้าถือแล้ววางเลยก็ไม่รู้สึกอะไร ถ้าถือไว้ 1 ชั่วโมงก็จะปวดแขน ถ้าถือทั้งวันแขนก็จะชาและเคลื่อนไหวลำบาก ทั้งๆ ที่น้ำหนักของแก้วก็ยังเท่าเดิม แต่ยิ่งถือนานขึ้น น้ำหนักก็ดูเหมือนเพิ่มขึ้น ความเครียดและวิตกกังวลในชีวิตก็เหมือนแก้วใส่น้ำ ถ้าคิดถึงเรื่องนั้นนิดเดียว ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคิดนานขึ้นก็จะรู้สึกเป็นทุกข์ ถ้าคิดทั้งวัน ก็จะรู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจจนทำอะไรไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือรู้จักปล่อยวางความเครียด ยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น อย่าคิดข้ามวันข้ามคืน อย่าลืมวางแก้วลง เรื่องจบลงแค่นี้
ไม่บอกว่าที่จริงแล้วความเครียดคืออะไร มีลักษณะอย่างไร จะปล่อยวางง่ายๆ ทันทีที่ต้องการได้หรือ? แต่ผู้อ่านต่างก็เห็นว่าลึกซึ้งกินใจเหลือเกิน จึงพากันส่งต่อจนถึงเรา เมื่อได้อ่านแล้วก็ขอบคุณในความปรารถนาดี และรู้สึกตนเองโชคดีที่ได้ศึกษาสุดยอดแห่งศาสตร์ คือ พุทธศาสตร์ ที่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดา ทรงสอนตามที่ทรงประจักษ์แจ้งแทงตลอดความจริงของสรรพสิ่งในโลกว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ คือ เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปทันที ความเครียดหรือวิตกกังวลก็คือความคิดที่เป็นอกุศล เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมะอย่างหนึ่งที่เกิดเพราะไม่ได้ตามต้องการหรือเพราะต้องการมากเกินไป ซึ่งมีสาเหตุหลักคือเพราะไม่รู้ความจริง
ความเครียดเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงไม่ใช่เราเครียดหรือความเครียดของเรา เกิดแล้วจึงปรากฏให้รู้ว่าเครียด แล้วก็ดับไป จะปล่อยวางตอนไหน ก็ดับไปแล้ว และไม่มีใครเครียดติดต่อกันเป็นชั่วโมง เป็นวัน เพราะเดี๋ยวก็มีเห็น คิดนึกถึงสิ่งที่เห็น ชอบ ไม่ชอบ เดี๋ยวก็ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เกิดดับสืบต่อกันไปตลอดเวลา ไม่มีจิตใดยั่งยืน ต่างก็มีอายุเท่ากัน คือเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับทันที เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเองว่า ขณะนี้คือธรรมะต่างๆ ที่เกิดปรากฏทำกิจของตน เมื่อยังไม่รู้จึงเป็นเราเครียด ไม่ใช่เป็นเพียงธรรมะอย่างหนึ่ง
ดังนั้นจะปล่อยวางได้เมื่อศึกษาให้เข้าใจความจริงของธรรมะอย่างละเอียด ซึ่งต้องใช้เวลา ไม่ใช่เพียงใครบอกให้ปล่อยวางก็จะปล่อยจะวางได้ทันที เพราะไม่มีใครสามารถกะเกณฑ์ให้ธรรมะใดเกิดหรือดับได้เลย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีคนเครียด วิตกกังวล เพราะใครๆ ก็อยากสบายกายสบายใจทั้งนั้น และความจริงอีกอย่างหนึ่ง คือ ความสุขหรือทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนความสุขและทุกข์ทางใจเป็นกุศลและอกุศล เกิดแล้วเป็นอย่างนี้แล้วดับแล้ว แต่จิตขณะต่อไปสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเป็นจิตดวงใหม่ที่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมะมากขึ้น
ศึกษาธรรมะมาเกือบ 30 ปี เข้าใจได้แค่นี้ค่ะ ความเข้าใจในขั้นฟังเท่านี้ยังทำกิจปล่อยวางอะไรทันทีไม่ได้ นอกจากเข้าใจความจริงมากขึ้น แต่เข้าใจเท่านี้ก็สุขเหลือเกินที่โชคดีมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ศึกษาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาเข้าใจดีแล้วนำมาพร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ เตือนแล้วเตือนอีกให้รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ แม้ว่าฟังแล้วจะลืมบ่อยๆ เนืองๆ เช่นกันก็ตาม (ที่ลืมเพราะสัญญา ความจำเรื่องขณะนี้เป็นธรรมะยังไม่มั่นคงพอ)
ความสุขหรือทุกข์ทางกายเป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนความสุขและทุกข์ทางใจเป็นกุศลและอกุศลที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเข้าใจความจริงของสภาพธรรมะมากขึ้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์อย่างสูงสุด หากไม่ได้ฟังพระธรรม ชีวิตนี้คงไม่มีวันที่จะซาบซึ้งถึงพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ในพระธรรมะที่พระองค์ทรงตรัสรู้ได้มากเท่านี้
ขอกราบขอบพระคุณคุณแม่แดงและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
"แต่เข้าใจเท่านี้ก็สุขเหลือเกินที่โชคดีมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ศึกษาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาเข้าใจดีแล้ว"
รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันครับ ก่อนได้ฟังพระธรรม อะไรก็ไม่เข้าใจ เครียด ก็บ่นไป ทุกข์ก็แบกไว้ ตอนนี้ได้เข้าใจ เท่านี้ก็สุขแล้ว
ขออนุโมทนาพี่แดงครับ