จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้
จิต เจตสิก รูป เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วดับไป คือ เกิดดับทุกขณะเมื่อเราตายจากโลกนี้ จิต เจตสิก รูป ทั้งหมดดับ ไม่มีอะไรเหลือ แต่เป็นปัจจัยให้เกิด จิต เจตสิก รูป ในภพใหม่ ฉะนั้น ที่มีคำกล่าวว่า มีวิญญาณล่องลอยไปเกิดในภพใหม่ จึงเป็นคำกล่าว ที่ไม่ตรงกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์สรุปคือ เมื่อจิตเจตสิกเกิดพร้อมกัน ต้องดับพร้อมกัน ไม่แยกจากกัน และเกิดที่ไหนดับที่นั่น ไม่มีการเดินทาง
จิตและเจตสิกเป็นสัมปยุตตธรรม คือ เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกันสำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิต และ เจตสิกต้องเกิดที่เดียวกัน คือ วัตถุ ๖ ได้แก่ จักขุโสต ฆานะชิวหา กาย และหทย เมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที แต่จะเกิดในภพภูมิใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรรม จิต หรือ วิญญาณ จึงไม่มีการล่องลอยไปที่ไหนทั้งสิ้น
จิตไม่ล่องลอยไปไหน ก็รับว่าใช่
และไปไหนก็ไปไม่ได้ ที่ว่าไปเกิดตามภูมิต่างๆ ได้ไม่ใช่จิตดวงเดิม เป็นจิตดวงใหม่.จึงสรุปได้ว่าล่องลอยไม่ได้ ไปไหนก็ไปไม่ได้ที่บอกว่า เท่าที่ทราบว่าเมื่อเราตายจากโลกนี้แล้ว จะมีแต่วิญญาณเท่านั้นที่ยังอยู่นี่กล่าวผิดแล้ว ตายแล้ว จิตวิญญาณก็ไม่มีอยู่กล่าวคือจุติจิตดับแล้ว...อะไรจะมีอยู่อีกที่จะเกิดต่ออีกนั้นมีอยู่คือปฎิสนธิจิต จะไปไหนนั้นก็เป็นไปด้วยอำนาจของอารมณ์ที่มีมาตอนใกล้ตายส่วนปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการที่จุติจิตดับลงแล้วไม่ควรเข้าใจว่า เราตายจากโลกนี้แล้ว จะมีแต่วิญญาณเท่านั้นที่ยังอยู่นี่เป็นความเห็นผิด