สังขตธรรม

 
WS202398
วันที่  9 มิ.ย. 2556
หมายเลข  23022
อ่าน  1,152

สังขตธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้นได้ต้องอาศัยเหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยนั้น ก็จะต้องเกิดจากเหตุปัจจัยอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ แต่ทำไมถึงมีความคิดอยู่ว่าสิ่งที่เป็นปัจจัยต่อกันไปเรื่อยๆ จะเป็นไปได้อย่างไร แต่ถ้าเปรียบกับความคิดที่ว่าต้องมีจุดเริ่มต้น ที่เกิดได้เองลอยๆ ไม่มีเหตุปัจจัยเป็นอัตตา

ก็จะมีคำถามว่าแล้วก่อนที่จะมีละ คืออะไร ผมเห็นว่าแม้แต่ความคิดที่ว่า ความมีเกิดจากความไม่มีแบบเกิดขึ้นลอยๆ ก็อาจคิดได้ว่า ก็ความไม่มีอะไรนั่นล่ะ คือ ปัจจัยที่ทำให้มีขึ้น เพราะถ้ามันมีอยู่แล้ว จะมีขึ้นอีกไม่ได้ เคยมีนักคิดเคยถามกันว่า ถ้าไม่มองดวงจันทร์ในขณะนั้น ดวงจันทร์จะมีอยู่หรือไม่เมื่อมีอายตนะหก ก็มีสิ่งที่ปรากฏให้จิตรับรู้ การที่ได้เห็นการตาย แต่เรายังไม่ตายมันก็ชวนให้คิดว่ารูปเที่ยง (ในความเห็นแบบคนธรรมดา) ในความเป็นจริง รูปและนามไม่เที่ยง สามารถอนุมานเอาได้ แม้มิใช่ขั้นสติปัฏฐาน เพียงแต่ในขั้นคิดนึก เพียงแต่หยุดคิดก็จบไป กลับไปเป็นเหมือนที่เคยคิดเคยเป็นปัญหาเหล่านี้ หากเจริญสติปัฏฐาน จะได้คำตอบหรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สังขตธรรม คือ ธรรมอันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย เป็นเหตุทำให้เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย สภาพธรรมนั้นๆ ก็ดับ สังขตธรรมจึง หมายถึงสภาพธรรมที่มีการเกิดดับ ได้แก่ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ รูป ๒๘ ซึ่ง สังขตธรรม ที่เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้วจึงเกิดขึ้น ที่เป็นจิต เจตสิก รูป ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ตามที่ผู้ร่วมสนทนากล่าวมา แต่ในความละเอียดของเหตุปัจจัยนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงใน พระอภิธรรมในส่วนคัมภีร์ปัฏฐานที่ละเอียด สุขุม ลึกซึ้งสุดประมาณ ที่แสดงถึงว่า สภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น จะต้องอาศัยสภาพธรรมหลายๆ อย่างจึงเกิดขึ้นและ ไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียว หลายๆ ปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ซึ่ง มีปัจจัยทั้งหมด 24 ปัจจัย ซึ่งในปัจจัยแต่ละอย่างก็มีความละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งตามที่ผู้ร่วมสนทนากล่าวว่า การที่มีสภาพธรรมเกิดขึ้น ก็จะต้องมาจากไม่มี จึงมีขึ้นได้ หากได้ศึกษาในความละเอียดของปัจจัย พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่ละเอียด และ ครอบคลุมความจริงทั้งหมด แม้โดยนัยที่ เพราะอาศัยความที่สภาพธรรมนั้นปราศไป คือ ไม่มีแล้วจึงเกิดขึ้นได้ คือ เพราะ อาศัยสภาพธรรมที่ดับไปแล้ว ปราศไปแล้ว ไม่มีแล้วจึงเป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นๆ เกิดต่อ ที่เรียกว่า นัตถิปัจจัย ครับ

เชิญคลิกฟังคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ

นัตถิปัจจัย

ส่วนที่ผู้ถามกล่าวถึง ผู้ที่เป็นนักคิด ปรัชญาตางๆ ที่กล่าวถึงว่า มีเมื่อมองดวงจันทร์ เป็นต้น เหล่านี้ ก็เป็นการคิดด้วยความเป็นตัวตน ที่สำคัญว่ามีเรา มีดวงจันทร์ ไม่ได้เห็นตามสัจจะ ความจริงว่า ดวงจันทร์ไม่มี แม้ตัวเราที่มองก็ไม่มี และ การไม่มีอะไร ก็ไม่ใช่ไม่มีอะไรเลย แต่ สิ่งที่มีจริง คือ ตัวสภาพธรรมที่เป็นสี ที่ปรากฎทางตา การคิดนึก ที่เป็นจิต เป็นต้น ก็เป็นสภาพธรรมทั้งสิ้น แต่ผู้ที่ไม่ได้ตรัสรู้ความจริงด้วยปัญญา ดังเช่นพระพุทธเจ้า ก็คิดนึกปรุงแต่งตามความคิดที่มีความไม่รู้ อวิชชาเป็นพื้นฐาน ครับ ซึ่ง การจะรู้ความจริง และ ได้คำตอบ ก็คือ การเจริญสติปัฏฐานที่เป็นหนทางที่จะรู้ตัวลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ โดยไม่ใช่คิดนึก แต่กำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ โดยแสดงถึงความจริงว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล ครับ

การเจริญสติปัฏฐานที่ทำให้เกิดปัญญารู้ความจริง จึงจะสามารถตอบคำถาม ที่มืดมนอยู่ในความไม่รู้ เปรียบเหมือน ถูกหลังคา คือ กิเลส ที่ปกปิดความจริงไว้การเจริญสติปัฏฐาน ก็เหมือน เปิดหลังคาออก และส่องแสงสว่าง ให้มองเห็นความจริงภายใต้หลังคา ที่แสดงว่ามีแต่ธรรมไม่ใช่เรา ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 10 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าไม่มีการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงแล้ว สัตว์โลกก็ไม่สามารถจะพ้นจากความมืดมิดด้วยอวิชชาได้ แต่เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมแล้ว ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณาที่จะอุปการะเกื้อกูลแก่สัตว์โลก พระองค์จึงทรงแสดงธรรม ประกาศความจริง โดยละเอียดโดยประการทั้งปวง ให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง และสิ่งที่มีจริงนั้น ก็มีจริงในขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นเองลอยๆ โดยปราศจากเหตุปัจจัย แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น และประการที่สำคัญสภาพธรรมที่เกิดขึ้นนั้น เกิดเพราะปัจจัยหลายอย่าง อย่างเช่น เห็นในขณะนี้ จะต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น จะต้องมีเจตสิกธรรมเกิดร่วมด้วย จะต้องมีที่เกิดของจิตเห็น จะต้องมีกรรมเป็นปัจจัย ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ค่อยๆ พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผลของธรรม เข้าใจแค่ไหนก็แค่นั้น

เมื่อไม่ขาดการฟัง การศึกษา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น และเมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อม ก็ย่อมจะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการได้ฟังในสิ่งที่มีจริงเป็นปกติในชีวิตประจำวัน นั่นเอง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 10 มิ.ย. 2556

ทุกอย่างเกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ มีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
WS202398
วันที่ 10 มิ.ย. 2556

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 9 ต.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ