แบ่งปันสิ่งที่บันทึกจากชั่วโมงสนทนาพระอภิธรรม และปฏิบัติธรรม ๙ มิ.ย. ๒๕๕๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
วันอาทิตย์ที่ 9 มิ.ย. 2556 กระผมจดบันทึกข้อความจากชั่วโมงพื้นฐานพระอภิธรรม และชั่วโมงสนทนาปฏิบัติธรรม ก็ขอโอกาสในการแบ่งปันเนื้อความสรุปสั้นๆ ตามกำลังความเข้าใจครับ
-โลภะ เป็น เชือก รู้หรือยัง และรู้เมื่อไร? ถ้าโลภะเกิดครั้งเดียว ก็ไม่รู้ แต่เพราะสิ่งนั้นทำให้ใจผูกพันไม่ยอมพราก ลักษณะของความติดข้องยินดี เหมือนเชือกผูกรู้ได้เมื่อมีความติดข้องระดับใด ผูกไว้แน่น เมื่อวานก็ผูกไว้วันหนึ่งๆ ผูกไว้แน่น ไม่ทิ้งไม่จากไป
-สุตพุทธะ หมายถึง พระอรหันต์ ซึ่งผ่านทุกข้อความ โดยไม่สงสัย เข้าถึงความหมายของพุทธพจน์ โดยไม่ใช่เพียงคิด (แสดงพุทธะ ๔ คือ สัพพัญญูพุทธะ ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ตรัสรู้โดยรู้ทั่ว และสามารถแสดงธรรมให้ผู้อื่นรู้ตามได้ ปัจเจกพุทธะ ได้แก่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้เฉพาะตน ไม่สามารถแสดงให้ผู้อื่นรู้ตามได้ จตุสัจจะพุทธะ ได้แก่ พระขีณาสพ ผู้ตรัสรู้ โดยรู้แจ้งอริยสัจ ๔ ซึ่งต้องเป็นผู้ฟังพระธรรม สุตตพุทธะ ได้แก่ ผู้ที่ตรัสรู้ โดยเป็นผู้รอบรู้ เพราะสดับตรับฟังมาก ท่านกล่าวว่า พุทธะทั้ง ๓ ที่กล่าวแล้ว สมควรแก่สุตตพุทธะทั้งหมด)
-ใครบ้างที่ไม่ถูกผูกไว้? เพราะห้ามไม่ให้คิด ไม่ให้ผูกพันไม่ได้
-เชือกโลภะผูกไว้แน่น ยิ่งนานก็ยิ่งเหนียว
-อีกไม่นาน ก็ไม่ถูกผูกด้วยอารมณ์ของชาตินี้ ถูกผูกไว้ด้วยอารมณ์ของชาติหน้า เช่น พ่อ แม่ ผูกไว้อย่างมั่นคง สิ่งที่ผูกไว้ในชาตินี้ก็ต่างจากชาติก่อน ต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่าทุกอย่างนั้นชั่วคราวจริงๆ จึงจะมีอาวุธที่ตัดข่ายได้ ผูกไว้แน่นไม่เพียงชาติเดียว จะผูกไว้ในชาติถัดไป
-ถ้าไม่เข้าใจธรรมเลย จะรู้หรือไม่ว่ากิเลสมีมาก มากจนทำให้ไม่รู้เลยว่ามี เพราะจิตเกิดดับสืบต่อในสังสารวัฏฏ์ จึงสะสมกิเลสได้มาก
-ฟังธรรมเพื่อเข้าใจตามความจริง คนไม่ฟัง ก็สะสมอกุศลมากขึ้นผู้ที่ได้ฟัง ก็ทราบว่า รู้ความจริงไม่ได้ ถ้าจิตเศร้าหมอง เริ่มเห็นคุณประโยชน์ของคุณความดี ของการมีอกุศลน้อยลง ผู้ที่รู้โทษของอกุศล รู้ว่ามีมาก เห็นโทษจริงๆ ความดีก็มากขึ้น กุศลแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เมื่อก่อนขี้เกียจ ผู้ไม่ประมาทรู้ว่าเป็นกุศล แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ศรัทธาก็เกิดขึ้นทำความดีได้
-ถ้าฟังธรรมเข้าใจแล้ว ก็ไม่เหมือนคนเก่าที่ไม่ทำดี มิฉะนั้นก็ไม่ได้เข้าใจจริงๆ เช่น ผู้ที่เข้าใจว่า คนทุกคนเคยเป็นพี่น้องกันมากก่อน ถ้าเข้าใจจริงๆ เมตตาก็เกิดขึ้นได้
-เมื่อมีความรู้ ละอกุศล กุศลก็เจริญขึ้น ไม่ละเลยทำความดีและไม่พอแค่นั้น เพราะความเข้าใจสภาพธรรมต้องเพิ่มขึ้นด้วย
-"ความต่างของอารัมณาธิปติปัจจัย และอารัมณูปนิสสยปัจจัย"
อารมณ์ที่ปรากฏ เป็น อารัมณปัจจัย มีอารมณ์ที่พอใจเป็นพิเศษ เป็นอารัมณาธิปติปัจจัย จากความหลากหลายที่สะสมมาบ่อยๆ เนืองๆ เมื่อประสบกับสิ่งใด ก็พอใจทันทีได้ เช่น สะดุดบางอย่างที่พอใจมากในห้างฯ ไม่สละ ไม่ทิ้ง คือ เห็นแล้วดูอีก เป็นอารัมณาธิปติปัจจัย แต่เมื่อดูบ่อยๆ เป็นอุปนิสัย สะสมอารัมณูปนิสสยปัจจัย คือ สะสมคุ้นเคยมาที่จะชอบสิ่งนั้น บางคนชอบข้าวแฉะ บางคนชอบข้าวนิ่ม บางคนชอบอากาศเย็นมากการสะสมความชอบในอารมณ์นั้นเรื่อยๆ เป็น อารัมณูปนิสสยปัจจัย
-ศึกษาธรรม ทีละคำ จะทำให้เข้าใจขึ้น ดีกว่าผ่านไป (เข้าใจธรรมทีละคำ ให้ละเอียดจริงๆ พิจารณาว่าเป็นธรรมที่มีจริงมีลักษณะจริงๆ เช่น แข็ง เป็นต้น ไม่ใช่เพียง ศึกษา ทางวิชาการด้วยความหวังอยากได้ และก็เพิ่มมานะจากการศึกษา)
-ขณะนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างปรากฏ ควรรู้ ควรเข้าใจถูก หรือยัง?
-เห็น ควรรู้หรือไม่? สิ่งที่ปรากฏควรรู้หรือไม่? เริ่มรู้หรือยังว่าเห็นต่างกับสิ่งที่ปรากฏ?
-ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ตรง ไม่มีเหตุผล จะไม่ได้สาระจากพระธรรม
-การนับถือคุณความดี ของผู้ทรงคุณความดี และแสดงหนทางของคุณความดี คุณของพระองค์ที่ทรงบำเพ็ญคุณความดี ก็เพื่อให้เข้าใจธรรม
-ทรงแสดงความจริง เพื่อให้รู้ ให้เข้าใจถูก
-ฟัง เพื่ออบรมให้เริ่มรู้ สิ่งที่มีจริง ขณะนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ที่ยึดถือไว้ทั้งหมดว่าเป็นตัวเรา แต่เมื่อกล่าวเป็นทีละอย่างแล้ว เช่น เห็น เป็นต้น ก็ไม่ใช่เรา
-ถ้าไปสำนักปฏิบัติแล้ว ไม่ทำให้เข้าใจความจริงยิ่งขึ้นควรไปหรือไม่? เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องไปไหน แต่ฟังเข้าใจความจริงยิ่งขึ้น
-คำใดที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง คำนั้นเป็นคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
-การฟังธรรมเป็นประโยชน์ ให้อบรมเจริญความดี ต่อไปยิ่งขึ้น
-เข้าใจคำสอนผิด เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
-ฟังแล้วเข้าใจแล้ว กลับบ้าน (ขณะที่ไม่ได้ฟัง) เคยเข้าใจไหมว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
-เดี๋ยวนี้เข้าใจหรือไม่ว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ “ใคร” เลย
-นานหรือไม่ กว่าที่จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ลืมบ่อยหรือไม่ แต่ละครั้งจากการฟังเข้าใจขึ้นๆ เป็นปัจจัยให้ไม่ลืม ให้เข้าใจถูก
-ปรกติ ที่ไม่ได้เห็นถูก เพราะขาดการฟังที่เข้าใจขึ้นๆ (เช่น มีแข็งเป็นปรกติ ไม่ได้ระลึกรู้ เพราะขาดการฟัง)
-เข้าใจขึ้นเป็นหนทางเดียวที่ละความต้องการได้
-ฟังพระธรรม เพื่อให้รู้โดยความเป็นอนัตตา แล้วแต่จะรู้ขึ้นเมื่อไรเป็นผู้ตรง พระสาวกบำเพ็ญบารมีนาน ไม่ใช่เพียงชาติเดียว
-ธรรมเกิดแล้วดับ แต่ความเห็นถูกค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นปรกติ
-สติปัฏฐาน ไม่เกิดขึ้น ถ้าเข้าใจ เป็น ชื่อ แต่เพราะเข้าใจธรรม จึงเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดได้
-ผู้ที่ไม่รู้อะไรเลย ก็ไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น อีกไม่นานพระศาสนาก็อันตรธาน
-การสนทนาธรรมเป็นมงคล และเปลี่ยนความเห็น (จากเห็นผิดให้เห็นถูกต้องขึ้น) และรู้ว่าสิ่งใดถูกผิด ชี้แจงเพื่อความเห็นถูกละความไม่รู้
ขออนุโมทนาท่านอาจารย์ อาจารย์วิทยากร และผู้ร่วมสนทนาทุกท่าน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โลภะ เป็น เชือก รู้หรือยัง และรู้เมื่อไร ถ้าโลภะเกิดครั้งเดียว ก็ไม่รู้ แต่เพราะสิ่งนั้นทำให้ใจผูกพัน ไม่ยอมพราก ลักษณะของความติดข้องยินดี เหมือนเชือกผูก รู้ได้เมื่อมีความติดข้องระดับใด ผูกไว้แน่น เมื่อวานก็ผูกไว้ วันหนึ่งๆ ผูกไว้แน่น ไม่ทิ้งไม่จากไป
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณ wittawat ด้วยครับ