ข้อความที่ยกขึ้นมานี้ เป็นพุทธวจนหรือไม่ครับ

 
WS202398
วันที่  19 มิ.ย. 2556
หมายเลข  23062
อ่าน  1,377

สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงแสดง

พระอภิธรรมมี ความสำคัญอย่างไร ขอคัดข้อความบางตอนจากพระไตรปิฎก ให้ท่านได้พิจารณา ดังนี้ ผู้คัดค้านพระอภิธรรมชื่อว่าทำลายชินจักร บุคคลเมื่อคัดค้านพระอภิธรรม ชื่อ ว่าย่อมให้การประหารในชินจักรนี้ ย่อมคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ ย่อมหมิ่นเวสา- รัชชญาณของพระศาสดา ย่อมขัดแย้งบริษัทผู้ต้องการฟัง ย่อมผูกเครื่องกั้นอริยมรรคจักปรากฏในเภทกรวัตถุ ๑๘ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ควรแก่อุเขปนิยกรรมนิยสกรรม ตัชชนียกรรม

จาก พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 63

ข้อความที่ยกขึ้นมานี้ เป็นพุทธวจนหรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จากข้อความที่ผู้ถามยกมานั้น เป็นส่วน อรรถกถา ที่เป้นพระอริยสาวก ที่มีปัญญา อธิบายเพิ่มเติมในส่วนพระอภิธรรม แม้จะไม่ใช่พระพุทธพจน์โดยตรง แต่ ก็อ้างอิง กับ พระพุทธวจนะ เพราะ ในความเป็นจริง พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงพระอภิธรรม ไม่ใช่ สาวกรุ่นหลังแต่งขึ้น ครับ ซึ่งจะขอยกพระพุทธวจนะโดยตรงที่กล่าวถึง พระอภิธรรม ดังนี้ ครับ

ในพระสุตตันตปิฎก กล่าวถึง "พระอภิธรรม" ไว้ด้วย ดังข้อความบางตอนใน มหาโคสิงคสาลสูตร ม. มู. ข้อ ๓๗๔

ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะท่านพระมหาโมคคัลลานะ ว่า ท่านโมคคัลลานะ เราจะขอถามท่านว่า ป่าโคสิงคสาลวัน เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ราตรีแจ่มกระจ่างไม้สาละ มีดอกบานสะพรั่งทั้งต้น กลิ่นคล้ายทิพย์ ย่อมฟุ้งไป ท่านโมคคัลลานะ ป่าโคสิงคสาลวัน จะพึงงามด้วยภิกษุเช่นไร.?ท่านพระมหาโมคคัลลานะตอบว่า ท่านพระสารีบุตร ภิกษุสองรูป ในพระศาสนานี้

กล่าว อภิธรรมกถา ธอทั้งสองนั้นถามกันและกันแล้ว ย่อมแก้กันเอง ไม่หยุดพัก ด้วยและธรรมกถาของเธอทั้งสองนั้น ย่อมเป็นไปด้วย ท่านสารีบุตร ป่าโคสิงคสาล วัน ... พึงงามด้วยภิกษุ เห็นปานนี้แล.


ส่วนความสำคัญ ของ พระอภิธรรม มีรายละเอียดดังนี้ ครับ

พระอภิธรรมปิฎก เป็นธรรมที่ละเอียดยิ่ง ละเอียดเพราะ มีลักษณะให้รู้ และไม่สามารถ เปลี่ยนลักษณะได้ เพราะฉะนั้น พระอภิธรรม ก็คือ สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน พระ อภิธรรมจึงไม่ใช่ที่อื่น สิ่งทีเกิดขึ้นกับเราในชีวิตประจำวัน เป็นอภิธรรม พระอภิธรรมที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่ากับใคร กับ พุทธมารดา หรือ กับผู้อื่นบนโลกมนุษย์ ก็ ไม่พ้นจาก จิต เจตสิก รูป หรือ ความจริงทีเกิดขึ้นกับตนเอง โดยมาก เราก็คิดว่าเป็น เราที่เห็น แท้ที่จริง ก็คือ อภิธรรม ธรรมที่ทำหน้าที่เห็น คือ จิตเห็น ขณะที่ความเครียด เกิดขึ้น ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอภิธรรมแล้ว

ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสด พระอภิธรรม เพราะมีความสำคัญ คือ สัตว์ลโกยึด ถือว่า เป็นเรา เป็นสัตวง์ บุคคล แต่ ในความเป็นจริง เป็นแต่เพียงสภาพะรรม ที่เป็น จิต เจตสิก รูปทีเ่กิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่แรา การแสดงพระอภิธรรม ให้เข้าใจว่าเป็น แต่เพียงธรรม นำมาซึ่งประโยชน์ใหญ่ คือ ละความเห็นผิดว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล จน สามารถดับกิเลสประการต่างๆ ได้ นี่คือ ประโยชน์ของพระอภิธรรม ที่สามารถกล่าว ได้เพียงเล็กน้อย ตามปัญญาของผู้เขียน แต่ ในความเป้นจริง ประโยชน์พระคุณ มหาศาล มีมากมาย เหลือที่จะกล่าว เพราะ ผู้สิ่งมีความเข้าใจพระอภิธรรมมาก ที่ ไม่ใช่เป็นเีพียงตัวหนังสือ แต่รู้ลักษณะของอภิธรรม คือ สภาพธรรมในขณะนี้ ก็ ยิ่งได้ประโยชน์มาก ครับ

ผู้ที่รู้คุณ คือ ผู้ที่ศึกษา และ มีปัญญา เข้าใจธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ในส่วนอภิธรรม แต่ ผู้ที่ไม่รู้คุณ คือ ผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษา และ ไม่ได้สะสมศรัทธา ปัญญามา แต่ สะสมความเข้าใจผิดมา ธรรม คือ ความเห็นถูก จึงไม่ได้สาธารณะ กับทุกคน ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 19 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงพระธรรม ประกาศความจริง ให้สัตว์โลกมีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามไปด้วย สิ่งที่มีจริงนั้น เป็นธรรม ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตนๆ ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่าง นั้น ธรรม นั้นเอง มีความละเอียดลึกซึ้ง เป็นอภิธรรม แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพ ธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา ซึ่งครอบคลุมสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ทุกประการ เพราะฉะนั้นแล้ว พระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดงเป็นไปเพื่อความข้าใจ ถูกเห็นถูกโดยตลอด ที่ทำให้ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากเพื่่อให้เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรม ว่า เป็นธรรม ไม่ใใช่ตัวตน สัตว์ ไม่บุคคล ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร

ผู้ที่เป็นสาวก เมื่อได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็กล่าว อธิบาย หรือแสดงตามที่พระองค์ทรงแสดง ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง จะไม่มีการกล่าว ให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของธรรมเลย, ถ้าไม่มีโอกาสได้ฟัง ไม่มีโอกาสได้ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมได้เลย หรือ ถ้ามีจุดประสงค์ที่ผิดในการศึกษา ศึกษาเพื่ออย่างอื่น เพื่อลาภ สักการะ สรรเสริญ ตลอดจนถึง คิดธรรมเอาเอง ปฏิเสธ ความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั่น ก็ไม่ได้ประโยชน์เลย แต่เป็นโทษ โดยส่วนเดียว

บุคคลผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม ด้วยความนอบน้อม เห็นคุณค่าและพิจารณา ไตร่ตรองให้เข้าใจถูกต้อง ด้วยความละเอียดรอบคอบอย่างยิ่งถึงจะเข้าใจและได้รับ ประโยชน์จากพระธรรมอย่างแท้จริง

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
WS202398
วันที่ 19 มิ.ย. 2556

ข้อความที่ว่า

###แต่ ผู้ที่ไม่รู้คุณ คือผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษา และ ไม่ได้สะสมศรัทธา ปัญญามา แต่ สะสมความเข้าใจผิดมา###

ที่ว่าไม่ได้สะสมศรัทธาปัญญามา นั้น ศรัทธาในที่นี้คือศรัทธาในอะไร และปัญญาในที่ีนี้คือปัญญาในอะไร

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 19 มิ.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

จากคำถามที่ว่า

ที่ว่าไม่ได้สะสมศรัทธาปัญญามา นั้น ศรัทธาในที่นี้คือศรัทธาในอะไร และปัญญาในที่นี้คือปัญญาในอะไร

ศรัทธาในที่นี้ หมายถึง ศรัทธา ในพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ อันเป็นศรัทธา ทีเ่กิดจากความเข้าใจพระธรรม ส่วน ปัญญา ในที่นี้ หมายถึง ปัญญา ควาเมห็นถูก ที เ่กิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nopwong
วันที่ 20 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nong
วันที่ 21 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
thilda
วันที่ 30 มี.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ