เหตุแห่งการเกิดในครรภ์
[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการ ความเกิด แห่งทารกก็มี ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่มีระดู และทารกที่จะมาเกิด ยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน ในสัตว์โลกนี้ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน มารดามี ระดู แต่ทารกที่จะมาเกิดยังไม่ปรากฏ ความเกิดแห่งทารก ก็ยังไม่มีก่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดมารดาบิดาอยู่ร่วมกันด้วย มารดามีระดูด้วย ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เพราะความ ประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความเกิดแห่งทารกจึงมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารดา ย่อมรักษาทารกนั้นด้วยท้องเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง เมื่อล่วงไปเก้าเดือน หรือสิบเดือน มารดาก็คลอดทารกผู้เป็นภาระหนักนั้น ด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก และเลี้ยงทารกผู้เป็นภาระหนัก นั้นซึ่งเกิดแล้ว ด้วยโลหิตของตนด้วยความเสี่ยงชีวิตมาก.
อยากทราบ ว่า คำว่า ทารกที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย เป็นคำแปล ที่ถูกต้อง หรือไม่ครับเพราะที่เคยได้ยินมา คือ วิญญาณหยั่งลง ครับ ขอช่วยอธิบาย ที่มาที่ไปด้วยครับ ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีหลากหลายนัย ตามอัธยาศัยของสัตวโลก หลากหลายนัย คือ โดยนัยสมมติเทศนา ที่เป็นสมมติบัญญัติ เรื่องราว ทางโลกที่ ใช้เรียกกัน ที่เป็น ชื่อของสัตว์ บุคคลต่างๆ และ โดยนัยปรมัตถเทศนา ที่เป็นโดย นัยที่เป็นแต่เพียงสภาพธรรม ที่เป็น จิต หรือ วิญญาณ นาม รูป เป็นต้น
ดังนั้น แต่ละพระสูตร จึงแตกต่างกันไปตาม ที่ผู้ฟังได้ฟังพระเทศนานั้นแล้วเข้าใจ ทั้งสมมติเทศนา และ โดยนัยปรมัตถเทศนา ซึ่งจากที่ผู้ถามยกข้อความมานั้น ที่กล่าวถึง คำว่า ทารก นั้น เป็นการอธิบายใน ส่วนของการก้าวลงสู่ครรภ์ ที่แสดงเหตุปัจจัย 3 ประการที่จะทำให้เกิด ก้าวลงสู่ครรภ์ ต้องถึงพร้อมด้วยปัจจัย 3 ประการ คือ
1. เมื่อใดมารดา บิดาอยู่ร่วมกันด้วย
2. มารดามีระดูด้วย
3. สัตว์ที่จะมาเกิดก็ปรากฏด้วย
เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็ทำให้มี การเกิดขึ้นของสัตว์ ที่สมมติเรียกว่า ทารก ดังนั้น พระธรรมเทศนาในพระสูตรนี้ ทรงแสดงโดยนัยสมมติเทศนา ที่ชาวโลกสามารถเข้าใจได้ ตามที่ผู้นั้นสะสมมาที่จะ เข้าใจโดยนัยสมมติเทศนา ที่แสดงว่า มีการเกิดขึ้นของสัตว์ และชาวโลกก็เรียกกัน ว่า สัตว์ผู้ที่เกิด เรียกว่า ทารก พระองค์จึงไม่ได้ปฏิเสธ ความจริงทางโลก ที่อธิบาย ว่า ทารกเกิดได้ เพราะอะไร และพระองค์อธิบายว่า สัตว์เกิดเพราะอะไร ก็ตามที่ได้ กล่าวมาข้างต้น ซึ่ง ในอรรถกถา พระสูตรนี้ ได้อธิบาย โดยนัยสมมติ และ กล่าวถึงว่า เป็นสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ดังข้อความในอรรถกถาที่ว่า
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 201
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺนิปาตาได้แก่ เพราะการประชุม คือว่า เพราะประมวลมา. บทว่า คพฺภสฺส ได้แก่ สัตว์ผู้เกิดขึ้นในครรภ์. บทว่า อวกฺกนฺติ โหติ ได้แก่ ความเกิดย่อมมี. จริงอยู่ในที่บางแห่งท้องแห่ง มารดาท่านเรียกว่า ครรภ์.
... คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
คพฺภสฺส อวกฺกนฺติ โหติ ดังนี้ หมายถึงสัตว์นั้น.บทว่า อิธ ได้แก่ ในสัตว์โลกนี้. บทว่า มาตา จ อุตุนี โหติ นี้ ตรัสหมายเอาเวลามีระดู. ได้ยินว่า ทารก ย่อมเกิดแก่มาตุคามในโอกาสใด ในโอกาสนั้น เม็ดโลหิตใหญ่ตั้งอยู่แล้ว แตกไหลไป เป็นวัตถุบริสุทธิ์
จะเห็นนะครับว่าเป็นการแสดงถึง โดยสมมติ ที่กล่าวถึง ทารก ก็คือ สัตว์ผู้ เกิดในครรภ์นั่นเอง ครับ ส่วนในพระสูตรอื่น พระพุทธเจ้าทรงแสดงโดยนัย ปรมัตถเทศนา ที่กล่าวถึง สภาพธรรมที่มีจริง เพราะ ในความเป็นจริง ไม่มีสัตว์ บุคคล มีแต่สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป เพราะฉะนั้น ในพระสูตรอื่นที่กล่าวโดยปรมัตถ จึงใช้คำว่าวิญญาณหยั่งลง คือ จิตเกิดขึ้นนั่นเอง เพราะ วิญญาณ ก็คือ จิตที่เป็นใหญ่ในการรู้ ไม่มีใครมาเกิด แต่ เป็นวิญญาณที่เกิดขึ้น คือ ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ทำกิจทำหน้าที่เกิด ครับ
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 175
ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้ :-
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้ กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณ จักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม. ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลง ในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม. ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.
ดังนั้น พระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่มีขัดแย้งกัน ไม่ว่าพระสูตรใด เพราะ พระธรรมเป็นสัจจะ ความจริงอันเกิดจากปัญญา ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นหนึ่ง ไม่ เป็นสองเพียงแต่ว่า พระองค์ทรงแสดงธรรมด้วยเพราะมีพระปัญญาที่จะเทศนาโดย นัยต่างๆ ทั้งสมมติเทศนา และ ปรมัตถเทศนา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก จากการที่ไดัฟัง ได้ศึกษาพระธรรมไปตาม ลำดับ ก็จะเข้าใจว่า ทุกขณะ มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง ตาย ก็คือ ธรรม เท่านั้นที่เกิดขึั้นเป็นไป ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน
แต่เพราะมีความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก รูป หรือ ขันธ์ ๕ จึงมการสมมติเรียกว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล สำหรับผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ในครรภ์ นั้น ทันทีที่จิตขณะแรกคือ ปฏิสนธิจิต (พร้อมกับเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย) เกิดขึ้น นั้น ในขณะนั้นก็มีรูปธรรม ๓ กลุ่มเกิดขึ้นพร้อมกันด้วย คือ กลุ่มของกายปสาทะ กลุ่มของภาวรูป และ กลุ่มของหทยรูป สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เกิดขึ้นเป็นไป
ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่าง เด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิดอีกในภพภูมิต่างๆ อย่างแน่นอน ยังไม่พ้นจากสังสารวัฏฏ์ไปได้ ยังต้องเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ทั้งในสุคติภูมิ และอบายภูมิอีกอย่างนับชาติไม่ถ้วน
เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ กับการที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งก็น่าพิจารณาว่า ชาตินี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชาติหน้าอาจจะไปเกิดในอบายภูมิก็ได้ เป็นไปได้ทั้งนั้น ซึ่งจะประมาทในชีวิตไม่ได้เลย เพราะถ้าหากอาศัยความประมาทเพียงนิดเดียว อาจจะนำพาเราไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นภูมิที่ปราศจากความเจริญในกุศลธรรม หมด โอกาสที่จะได้เจริญกุศลยิ่งขึ้น ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ดีแล้วที่ได้เกิดมาเป็น มนุษย์ ที่จะได้สะสมความดีและอบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...