พระอรหันต์ฟุ่มเฟือยได้หรือไม่

 
samroang69
วันที่  25 มิ.ย. 2556
หมายเลข  23088
อ่าน  1,870

ขอถามสักเรื่องนะครับว่า การที่มีภิกษุประกาศตัวว่าเป็นพระอรหันต์แล้วทำให้มีญาติโยมนำของมาถวายเยอะๆ พระอรหันต์จะสามารถที่จะใช้ของที่ฟุ่มเฟือยได้หรือไม่ โดยเฉพาะของที่โยมนำมาถวาย ไม่ว่าจะเป็นรถเก่ง หรือกระเปาแบรนด์เนม จึงอยากจะถามว่า อะไรที่พระไม่ควรรับบ้างครับ

ขอบคุณ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เคารพ ครับ

พระอรหันต์ คือ ผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว กิเลส คือ สภาพธรรมที่ไม่ดี เช่น

โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อดับกิเลส คือ โลภะ คือ ความติดข้อง หมดสิ้นแล้ว ก็ไม่มี

ความต้องการ ทะยานอยาก คือ เป็นผู้มักน้อย สันโดษ อยู่ตามเหตุปัจจัย

ผู้ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ดังเช่นในสมัยพุทธกาล เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ไม่

ประกาศคุณของตนให้ผู้อื่นทราบ เปรียบเหมือน ผู้ที่มีทรัพย์มาก ไม่ปรารถนาให้คน

อื่นรู้ว่าตนเองมีทรัพย์มาก พระอรหันต์จึงเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความมักน้อยสันโดษ

แม้ในคุณธรรมของตน ที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ และ มักน้อย ใน ลาภ สักการะ คือ ไม่

ปรารถนา ทรัพย์สมบัติสิ่งต่างๆ เพราะ ท่านดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกล่าวถึงคุณธรรมของพระอรหันต์ แม้บรรพชิต ผู้ที่ยังเป็น

ปุถุชนแต่เป็นผู้น้อมประพฤติตามพระวินัย ก็ย่อมปฏิบัติตามพระธรรม โดยไม่เป็น

ผู้มักมาก และเป็นผู้สันโดษในปัจจัยต่างๆ อันสมควรกับเพศบรรพชิต เพราะ เพศ

บรรพชิต เป็นเพศที่ขัดเกลากิเลสเป็นอย่างยิ่ง สิ่งใดก็ตาม ที่จะทำดังเช่นคฤหัสถ์

ย่อมไม่สมควรกับเพศพระภิกษุ พระพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงบังคับให้ใครบวช แต่ทรงให้

รู้จักตนเองว่า ตนเองมีอัธยาศัยในเพศใด หากมีความจริงใจที่จะประพฤติตาม

พระวินัย ขัดเกลากิเลส สละหมดทุกอย่างก็สละเพศคฤหัสถ์ บวชเป็นบรรพชิต เมื่อ

สละเพศคฤหัสถ์แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะทำตนเองดังเช่นคฤหัสได้ แต่หากใครไม่

สามารถบวชได้ คือ รู้ตนเองว่า ยังไม่มีอัธยาศัยสละทุกอย่าง พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้

ทรงติเตียนในข้อที่ไม่บวช แต่ทรงสรรเสริญด้วย หากเป็นเพศคฤหัสถ์ที่ปฏิบัติตน

เหมาะสม ตามสมควรกับเพศคฤหัสถ์ เพราะ ความดี และ ปัญญา กุศลธรรม ไม่ได้

ห้ามที่จะเกิดกับเพศใด ครับ ตรงกันข้าม อกุศลธรรม ความไม่ดี ก็ไม่ได้เลือกเพศ

เลย เพราะ สามารถเกิดได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่า บรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ หากยังมี

กิเลส และ ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่น้อมประพฤติปฺฏิบัติตามพระธรรม

เมื่อเป็นเพศบรรพชิตแล้ว ย่อมเป็นเพศที่สละเพศคฤหัสถ์ ไม่สมควรประพฤติ

ตามคฤหัสถ์ ซึ่งพระพุทธเจ้า ก็ทรงติเตียน ภิกษุที่มักมาก ไม่สันโดษ สะสมปัจจัย

ต่างๆ ดั่งเช่นคฤหัสถ์ ดังเช่น ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตร ที่สะสมปัจจัยต่างๆ

มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบาตรจีวร ต่างๆ ไว้มาก พระองค์ก็ทรงติเตียน ทั้งๆ ที่เป็นของ

สำหรับบรรพชิตที่เหมาะสม คือ บาตร จีวร ที่เรียกว่า เป็นของกัปปิยะ ของที่สมควร

กับพระภิกษุ แต่แม้อย่างนั้น การสะสมสิ่งที่ควร แต่สะสมมาก ก็ไม่สมควร เพราะทำ

ด้วยจิตอะไร ก็ทำด้วยจิตที่เต็มไปด้วยกิเลส การทำด้วยกิเลส จึงไม่สมควรด้วย

ประการทั้งปวง

แม้ของที่เป็นกัปปิยะ แม้บาตร จีวร การสะสม ก็ไม่สมควรแล้ว จะกล่าวไปใย

ถึงของที่เป็นอกัปปิยะ คือ ของที่ไม่สมควรกับพระภิกษุ ที่เป็นดั่งเช่น คฤหัสถ์ คือ

กระเป๋าหรู เงิน และ ทอง และ พาหนะ ที่ไม่สมควรกับเพศพระภิกษุ เพราะ ยานที่

สมควรกับเพศพระภิกษุ คือ รองเท้า และ ร่ม เป็นต้น ไม่ใช่เครื่องบิน ดังเช่นคฤหัสถ์

พระภิกษุ ไม่ควรมีกิจมาก เพราะ กิจที่สมควร คือ การดับกิเลสของตนเองเป็น

สำคัญ ดังนั้น การทำกิจมาก ดังเช่น คฤหัสถ์ ย่อมไม่สมควร เช่น การเดินทางไปมา

ในที่ต่างๆ การทำกิจ เช่น การก่อสร้างสิ่งต่างๆ มากมาย ดังเช่น คฤหัสถ์ ครับ

สิ่งที่ควรรับ คือ ของที่เป็นกัปปิยะ ควรกับพระภิกษุ เช่น บาตร จีวร เข็ม บริขาร 8

เป็นต้นแต่ไม่ใช่ สิ่งของที่เป็นดังเช่น คฤหัสถ์ และที่ละเอียดลงไป แม้การรับมาก

เกินไป ด้วยความอยาก ไม่มักน้อย สันโดษ แม้เป็น บริขาร 8 ก็ไม่สมควรอีกเช่นกัน

นี่แสดงถึงความละเอียดของเพศบรรพชิตที่เป็นเพศที่ขัดเกลาอย่างยิ่ง ครับ

พระพุทธศาสนา จะรุ่งเรื่อง ไม่เสื่อมสูญ ก็ไม่ใช่เพียงบริษัทเดียว แม้ ว่า ภิกษุ

บริษัทจะทำไม่สมควร แต่ อุบาสก อุบาสิกา ที่ดี ก็ควรศึกษาพระธรรมวินัย และ

พิจารณาว่าสิ่งใดควร หรือ ไม่ควร และไม่สนับสนุนในกลุ่ม หรือ การกระทำของ

ภิกษุนั้น ก็ย่อมรักษาพระศาสนาไว้ได้ เพราะ รักษาใจของตนเอง ให้มีความเห็นถูก

เป็นสำคัญ ครับ

สิ่งที่สำคัญที่สุด ควรเห็นความไม่ดีของผู้อื่น เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง ที่จะ

ไม่ประมาท ด้วยการศึกษาพระธรรม เป็นสำคัญ และเห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่มี

ใครทำไม่ดีเพราะ มีแต่การเกิดขึ้นของจิต เจตสิกที่สะสมมาไม่ดี การเข้าใจเช่นนี้ ก็

จะไม่เพ่งโทษคนอื่นเพราะ การเพ่งโทษด้วยจิตที่ไม่ดี ไม่ว่ากับใคร ก็ชื่อว่าไม่ดีทั้งนั้น

ทุกชีวิตก็เป็นไปตามการสะสมและเป็นไปตามกรรม ควรใช้ชีวิตที่เหลือน้อย ด้วย

การศึกษาพระธรรม เป็นสำคัญ ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
samroang69
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nongnooch
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

การรับนิมนต์ไปต่างประเทศคือกิจของสงฆ์หรือเปล่าคะ เพราะปัจจุบันเห็นภิกษุสงฆ์

รับนิมนต์เดินทางไปกันเยอะค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

การรับนิมนต์ไปต่างประเทศ อันเป็นการเดินทางไกล และ เป็นการลำบากของ

พระภิกษุ ในการเดินทาง ในการที่จะอยู่ในวัดต่างประเทศ ซึ่งจะเอื้อต่อการผิด

พระวินัย หากเป็นผู้มักน้อย สันโดษ มุ่งที่จะรู้กิจของตน คือ การดับกิเลส ย่อม

ไม่ควรไป และ ทำกิจของตนเองเป็นสำคัญก่อน คือ การศึกษา อบรมปัญญา

ส่วน ผู้ที่นิมนต์ ก็สามารถเจริญกุศลด้านอื่นๆ ได้ ที่ไม่ใช่เพียงการถวายทาน

กับพระภิกษุ และ แม้แต่การฟังธรรม ก็ไมไ่ด้หมายความว่า จะต้องฟังจาก

พระภิกษุ เพราะ ไม่ว่าฟังจากใคร หากเป็นคำจริง ตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรง

แสดงก็เป็นคำน่าฟัง ควรเคารพ เพราะ เป็นคำที่ทำให้เกิดปัญญา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
samroang69
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
nongnooch
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

ขอขอบพระคุณที่ร่วมสนทนาค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมซึ่งเป็นคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง

แสดง ก็จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ และยิ่งเห็นความละเอียดลึกซึ้ง

ของพระธรรม พร้อมทั้งกิเลสที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งไม่สามารถ

ที่จะขัดเกลาละคลายหรือดับ ได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว หรือ ไม่ใช่ว่าจะไปดับ

กิเลส ด้วยความไม่รู้ ด้วยความเห็นผิด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะการดับกิเลส

เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะขาดการฟังได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัม

พุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็จะเข้าใจได้ว่า เมื่อได้ยินได้ฟัง ว่า

คนนั้น คนนี้เป็นพระอรหันต์ ให้สันนิษฐานได้เลย ว่า นั่นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

เป็นการกล่าวเพื่อมุ่งลาภ สักการะ ซึ่งเป็นโทษเป็นภัยโดยส่วนเดียว เพราะภาวะ

หรือความเป็นพระอริยบุคคล ไม่่ว่าจะระดับใดก็ตาม ล้วนจะเป็นผู้ปกปิดคุณความดี

ของตน และ มีความประสงค์ที่จะให้ผู้อื่นได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมเหมือน

อย่างที่ตนเองได้เข้าใจ ยิ่งถ้าเป็นพระอรหันต์ด้วยแล้ว ห่างไกลแสนไกลจากกิเลส

โดยประการทั้งปวง กิเลสใดๆ ไม่เกิดอีกเลย แสดงถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด

อย่างแท้จริง กาย วาจา และ ใจ บริสุทธิ์ ไม่เกลือกกลั้วด้วยโทษคือกิเลสแม้

แต่น้อย เพราะท่านดับได้อย่างหมดสิ้นแล้ว นั่นเอง

เรื่องของคนอื่น ก็เป็นเรื่องของคนอื่น จริงๆ แต่ละคนก็มีความประพฤติเป็นไป

ตามการสะสม เมื่อเห็นความไม่ดีของคนอื่นก็สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกในการสะสม

ของแต่ละบุคคลได้ พร้อมกับเป็นเครื่องเตือนตนเองให้เป็นผู้ไม่ประมาทในการที่จะ

ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสของตนเองต่อไป

เพราะความประพฤติเป็นไปที่ไม่ดี ไม่ถูกไม่ควร ก็มาจากกิเลสอกุศลธรรม นี้เอง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
daris
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เสือ
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

ถาม

ความคิดเห็นที่ 4

ที่บอกเดินทางไกล เช่น ไปต่างประเทศ กับต้องไปอยู่วัดต่างประเทศ

ผิดพระวินัยอย่างไรครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

พระอรหันต์ท่านไม่มีความโลภ ท่านจึงไม่ใช้ของฟุ่มเฟืือย ท่านหมดความยึดมั่นแล้ว ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
paderm
วันที่ 25 มิ.ย. 2556

เรียนความเห็นที่ 9 ครับ

จากความห็นที่ 4 ได้กล่าวว่า เอื้อต่อการผิดพระวินัย ไม่ได้หมายความว่า ถ้าไป

ต่างประเทศแล้วจะต้องผิดพระวินัยทันที ครับ คำว่า เอื้อ คือ มีโอกาสที่จะผิด

พระวินัยได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นสัมภาระ การเดินทาง การตรวจคนเข้าเมือง ดั่งเช่น

คฤหัสถ์ การเดินทาง และ การอยู่ที่พักในต่างประเทศ วัดนั้น มีบุคคลที่เป็นอนุปสัมบัน

คือ ผู้ที่ไมไ่้ด้บวชเป็นพระอยู่ด้วย ค้างแรม หลายคืน ก็ต้องอาบัติได้ เป็นต้น

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
nopwong
วันที่ 26 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
nongnooch
วันที่ 26 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เสือ
วันที่ 26 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เซจาน้อย
วันที่ 26 มิ.ย. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ดรุณี
วันที่ 27 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

คำสอนท่าน ดั่งแสงสว่าง บอกทางแก่คนหลงทาง

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
pakwalanch
วันที่ 28 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
tee
วันที่ 28 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาครับ

ผมอยู่ต่างจังหวัด ผมดีใจจริงๆ ที่ได้มาพบ ธรรมะที่ท่านอาจารย์สุจินต์ และอาจารย์ผู้ร่วมบรรยายธรรม นำมาถ่ายทอดให้ได้รับฟัง ก่อนหน้านี้ผมเคยไปหาพระและฆราวาส หลายสาย หลายวิธีการถ่ายทอด ตั้งแต่ยังเรียน นับเป็นสิบๆ ปี แล้วก็ทุ่มเทปฏิบัติตามแต่ละแนวหลายๆ ปีเสียทั้งเงินและเวลารวมทั้งความงมงายที่สั่งสมเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็รู้สึกว่ามีแต่โลภะและอัตตามากขึ้นทุกที แต่เมื่อมาศึกษาธรรมะที่ท่านอาจารย์สุจินต์นำมาบรรยายประมาณ 3 ปี ตอนนี้รู้สึกเบาสบาย แม้บางคราวมีเรื่องที่น่าทุกข์ก็กลับไม่รุนแรงเหมือนแต่ก่อน ทุกวันนี้ฟังทุกครั้งที่มีโอกาสและดูถ่ายทอดทุกสัปดาห์ตั้งแต่มีการถ่ายทอดสด

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
papon
วันที่ 29 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
guy
วันที่ 30 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
เมตตา
วันที่ 4 ก.ค. 2556

พระธรรมทั้งหมดเพื่อให้ผู้ฟัง เกิดความเห็นถูกเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลัง

ปรากฏตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากิเลส เป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่ายังเป็นผู้หนาด้วย

กิเลสที่ได้สะสมมายาวนานในสังสารวัฏฏ์ เพราะกิเลสไม่สามารถดับได้ง่ายๆ โดย

ไม่น้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จึงต้องศึกษา

พิจารณาด้วยความรอบคอบ พระธรรมทั้งหมดเพื่อความเข้าใจแล้วละ ละความไม่รู้

ละความติดข้อง ละกิเลสต่างๆ ไม่ใช่เพื่อได้ ผู้ที่หมดจรดจากกิเลสเป็นพระอรหันต์

ไม่มีโลภะที่จะติดข้องในสิ่งต่างๆ ไม่มีการแสดงคุณของตน เม้แต่พระโสดาบันยังไม่

เป็นพระอรหันต์ ทรัพย์ที่มีอยู่ของท่านก็เพื่อพระรัตนตรัย

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น อ.เผดิม และทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
samroang69
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
surat
วันที่ 21 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ