วสลสูตร ที่ ๗.. คนถ่อย ๒๐ จำพวก

 
pirmsombat
วันที่  28 มิ.ย. 2556
หมายเลข  23097
อ่าน  4,316

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

[เล่มที่ 46] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 326

วสลสูตร ที่ ๗

ว่าด้วยคนถ่อย ๒๐ จำพวก

[๓๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้า ไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ก่อไฟ แล้วตกแต่งของที่ควรบูชา อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอก ในพระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ ของอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระ- ภาคเจ้าเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หยุด อยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย. เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่อง กระทำให้เป็นคนถ่อยหรือ?

อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำ ให้เป็นคนถ่อย ดีละ ขอท่านพระโคดมจงแสดงธรรมตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จัก คนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด

พ. ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจัก กล่าว อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถาประพันธ์นี้ว่า

[๓๐๖] ๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว มีทิฏฐิวิบัติ และมีมายา พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว แม้หรือเกิดสองหน ไม่มีความเอ็นดู ในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๓. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น มี ชื่อเสียงว่า ฆ่าชาวบ้านและชาวนิคม พึงรู้ ว่าเป็นคนถ่อย.

๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้ ในบ้านหรือในป่า พึงรู้ ว่าเป็นคนถ่อย

๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หา ได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนีไปเสีย พึงรู้ว่าเป็น คนถ่อย

๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ เพราะอยากได้สิ่งของ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้ว กล่าวคำเท็จ เพราะเหตุแห่งตนก็ดี เพราะ เหตุแห่งผู้อื่นก็ดี เพราะเหตุแห่งทรัพย์ก็ดี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

. คนผู้ประพฤติล่วงเกิด ในภริยา ของญาติก็ตาม ของเพื่อนก็ตาม ด้วยข่มขืน หรือด้วยการร่วมรักกัน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดา หรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัยหนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๑๐. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดาพี่ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย แม่ผัวหรือพ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๑๑. คนผู้ถามถึงประโยชน์ บอก สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พูดกลบเกลื่อนเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย.

๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนา ว่าใครอย่าพึงรู้เรา ปกปิดไว้ พึงรู้ว่าเป็น คนถ่อย

๑๓. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้วและ บริโภคโภชนะที่สะอาด ย่อมไม่ตอบแทน เขาผู้มาสู่สกุลของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๑๔. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ด้วยมุสาวาท พึงรู้ว่าเป็น คนถ่อย

๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่าสมณะหรือพราหมณ์และไม่ให้โภชนะ พึงรู้ ว่าเป็นคนถ่อย

๑๖. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบงำแล้ว ปรารถนาของเล็กน้อย พูดอวดสิ่ง ที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่น ผู้อื่น ด้วยมานะของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความ ปรารถนาลามก มีความตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือ ติเตียนบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ สาวกพระพุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

๒๐. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ ปฏิญาณว่าเป็นพระอรหันต์ ผู้นั้นแลเป็นคน ต่ำช้า เป็นโจรในโลกพร้อมทั้งพรหมโลก คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว คน เหล่านั้นนั่นแล เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย

บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่ เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ท่าน จงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ บุตรของคน จัณฑาลเลี้ยงตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่ามาตังคะ เป็นคนกินของที่ตนให้สุกเอง เขาได้ยศ อย่างสูงที่ได้แสนยาก กษัตริย์และพราหมณ์ เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา เขาขึ้น ยานอันประเสริฐ ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มี ฝุ่น เขาสำรอกกามราคะเสียได้แล้ว เป็นผู้ เข้าถึงพรหมโลก ชาติไม่ได้ห้ามเขาให้เข้า ถึงพรหมโลก พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธ- ยายมนต์ เป็นพวกร่ายมนต์ แต่พวกเขา ปรากฏในบาปกรรมอยู่เนืองๆ พึงถูก ติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้าก็เป็น ทุคติ ชาติห้ามกันพวกเขาจากทุคติหรือจาก ครหาไม่ได้ บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ แต่เป็นคนถ่อย เพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม

[๓๐๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ พระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวัง คนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์กับทั้งพระธรรมและ พระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึง สรณะตลอดชีวิตจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป

จบ วสลสูตร ที่


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
nongnooch
วันที่ 28 มิ.ย. 2556

จาก อรรถกถา ว่าด้วยคนถ่อย ๒๐ จำพวก นี้ ดิฉันเข้าใจอย่างนี้ว่า เหตุของคนถ่อยก็อันเนื่องมาจาก การแสดงออก ในการไม่สำรวมทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ อันนี้จะถูกต้อง มั้ยคะ

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
papon
วันที่ 29 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kinder
วันที่ 30 มิ.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 30 มิ.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
udomjit
วันที่ 5 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 24 มี.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 24 มี.ค. 2564

ขอเชิญรับฟังเพิ่มเติมจาก ...

ชุด แนวทางเจริญวิปัสสนา แผ่นที่ ๘ ครั้งที่ 0422

เริ่มนาที 03:58 - 18:55

ข้อความบางตอน...

สำหรับชีวิตของทุกท่าน ก็ย่อมประสบทั้งอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์เป็นของธรรมดา เพราะว่าเป็นผลของอดีตกรรมที่ได้กระทำแล้ว แม้บุคคลผู้ประเสริฐสุด เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่พ้นจากการที่จะได้รับกระทบกับอนิฏฐารมณ์ แม้ ผรุสวาจา

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ฟังถูกผรุสวาจาใดๆ ก็ตามกระทบกระทั่ง ขอให้ทราบว่าไม่ใช่ตัวท่านผู้เดียว ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมแล้วแต่กรรมที่ได้กระทำไว้แล้วทั้งสิ้น แม้บุคคลผู้ประเสริฐสุด เช่น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังมีบุคคลที่เรียกพระองค์ว่า คนถ่อย

ขุททกนิกาย สุตตนิบาต วสลสูตรที่ ๗ มีข้อความว่า

ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังพระนคร สาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ก่อไฟแล้ว ตกแต่งของที่ควรบูชาอยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับตรอกใน พระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย

พุทธศาสนิกชนสมัยนี้ใคร่ที่จะได้เฝ้า ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ไม่รู้สึกเป็นสุขเลยที่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลและได้เข้าไปในบ้านของพราหมณ์นั้น ซึ่งท่านผู้ฟังจะเห็นโทษของการสะสมความเห็นผิด ซึ่งควรที่จะปลาบปลื้มโสมนัสที่ได้เห็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สำหรับผู้ที่สะสมความเห็นผิดกลับเห็นว่า พระผู้มีพระภาคควรจะหยุดอยู่ที่นั่น ไม่ควรที่จะเข้าไปในบ้านของตน ซึ่งท่านผู้ฟังก็คงจะเสียดายโอกาสของการเห็นของอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ ที่ไม่รู้คุณค่าว่า การที่จะได้มีโอกาสเห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นโอกาสที่ยากยิ่ง

เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า ดูกร พราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยหรือ ฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
swanjariya
วันที่ 20 พ.ค. 2566

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ