กิเลส
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่
เป็นทุกข์เหลือเกิน
.............
ท่านเห็นโทษของอกุศลหรือยัง
ถ้าไม่เห็นโทษก็ไม่งดเว้น
………………
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่ผู้ใด
ความสุขย่อมมีแก่ผู้นั้นหนอ
ผู้มีธรรมอันนับได้แล้ว เป็นพหูสูต
ท่านจงดูบุคคล ผู้มีกิเลสเครื่องกังวลเดือดร้อนอยู่
................
ท่านเป็นคน จงกำจัดความพอใจในคนเสีย
แต่นั้นท่านจักเป็นผู้มีความสุข
ปราศจากความกำหนัด
ท่านมีสติ ละความยินดีเสียได้
เราเตือนให้ท่านระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ
ธุลีคือกิเลสประดุจบาดาลที่ข้ามได้ยาก
ได้แก่ความกำหนัดในกามอย่าได้ครอบงำท่านเลย
.....................
ชนผู้ปฏิพัทธ์ในชนย่อมเดือดร้อน.
..................
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ขึ้นชื่อว่า กิเลสซึ่งเป็นของเล็กน้อย
ไม่มีเลย
ถึงจะมีประมาณน้อย
บัญฑิตทั้งหลายก็พากับข่มเสียได้ทั้งนั้น
ดังนี้แล้ว จึงได้ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย
เมื่อจบสัจจะ ภิกษุ 500 รูป ดำรงอยู่ในอรหัตตผล
....................
ประโยชน์ที่เราจะระลึก ในชีวิตประจำวันว่า
ทุกสี่งทุกอย่างเป็นผลของกรรมของเรา วิบากทั้งนั้น
แม้ในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน เพราะมันเลือกไม่ได้
และแต่ละคนก็มีเหตุที่จะทำให้เห็น ให้สัมผัสเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นพอลืมตาขึ้นมา ก็ได้รับผลกรรมตลอดเวลาเลย ไม่ว่างสัก ขณะ เลย
เรียกว่ากุศลจิต อกุศลจิต สลับกับวิบาก
เพราะว่าแม้นอนหลับสนิทก็เป็นผลของกรรม
ตื่นก็เป็นผลของกรรม เห็น ได้ยิน พวกนี้ เป็นผลของกรรมหมด
หลีกเลี่ยงการเป็นผลของกรรมไม่ได้เลย
แต่เมื่อผลของกรรมเกิดแล้ว
คือวิบากจิตเกิด แล้วกุศล อกุศลเกิดสลับ
มันจึงไม่สี้นสุดวัฏฏะ
เพราะหลังจากวิบากก็ เป็นกิเลส เป็นกรรม แล้วก็เป็นวิบากอีก
หลังวิบากก็ เป็นกิเลส เป็นกรรม
กิเลส กรรม วิบาก
หรือ วิบาก กิเลส กรรม
หรือ กรรม วิบาก กิเลส ได้หมด
เพราะฉะนั้นพอลืมตาขึ้นมา ก็ได้รับผลกรรมตลอดเวลาเลย ไม่ว่าง สักขณะ เลย
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ