การบริจาคโลหิตและบริจาคร่างกาย

 
supim
วันที่  9 ก.ค. 2556
หมายเลข  23147
อ่าน  4,722

ได้ยินพระท่านกล่าวว่า "พระโพธิสัตว์เคยบริจาคโลหิตมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่" จึงอยากทราบว่าในพระไตรปิฏกมีการกล่าวในเรื่องนี้หรือเรื่องการบริจาคโลหิตของพระโพธิสัตว์ในหมวดใดบ้าง เนื่องจากบางท่านต้องการบริจาคโลหิตแต่ก็กังวลว่าจะมีผลกระทบต่อในร่างกายตามคำของคำหมอแผนจีนบางท่านที่จะไม่แนะนำให้ทำในเรื้องนี้ เป็นเหตุให้เกิดความลังเลในการให้ทานในรูปแบบนี้

หรือแม้แต่การบริจาคอวัยวะหรือบริจาคร่างกายเมื่อเสียชีวิตแล้ว ก็เกรงว่าการขาดหายไปของอวัยวะจะทำให้พลังออกจากกายสังขารไปไม่ครบถ้วน ซึ่งจะเป็นเหตุให้การได้เกิดเป็นมนุษย์หรือสัตว์ในรอบใหม่มีอวัยวะไม่ครบถ้วนไปด้วย

จึงใคร่ขอท่านอาจารย์หรือท่านผู้รู้ได้กรุณาให้ความรู้และความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวด้วยค่ะ

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาไว้ล่วงหน้า ณ โอกาสนี้ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำหรับข้อความที่ว่า "พระโพธิสัตว์เคยบริจาคโลหิตมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่"

ไม่ได้มีข้อความนี้โดยตรงในพระไตรปิฎก แตก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า ความจริงเป็น

อย่างนั้น และ เป็นมากกว่านั้นอีกด้วย เพราะ ในความเป็นจริง สัตว์โลกเกิดมานับ

ชาติไม่ถ้วน เพราะ สังสารวัฏฏ์์นับประมาณชาติไม่ได้ ดังนั้น การที่พระโพธิสัตว์จะ

ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก นับชาติไม่ได้ อย่างน้อย

ก็ต้องใช้เวลา 4 อสงไขยแสนกัป หลังจากได้รับพยากรณ์แล้ว แต่กอ่นหน้านี้ ที่

ไม่ได้รับการพยากรณ์ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีการสะสม อบรมบารมี

คุณธรรมต่างๆ มามากมาย ซึ่ง ตามธรรมดาของพรโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะต้องมี

การบำเพ็ญบามี 10 ซึ่ง ในบารมี 10 นั้น ก็เริ่มด้วย ทานบารมี ซึ่ง ทานบารมี ก็มี

รายละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งตามธรรมดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะต้อง มี

การ มหาบริจาค 5 ประการดังนี้

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้าที่ 561

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทตฺวา ทาตพฺพก ทาน ความว่า ใน

กาลนั้น เราได้สละไทยธรรม มีราชสมบัติเป็นต้นในภายนอก อวัยวะและตา

เป็นต้นในภายใน ที่พระโพธิสัตว์ผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นยานเลิศ เพื่อบรรลุ

พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จากนั้นได้บริจาคทานมีประเภทเป็นทาน.

บารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี มีการบริจาคใหญ่ . อย่างเป็น

ที่สุด คือ บริจาคราชสมบัติ ๑ บริจาคอวัยวะ ๑ บริจาคนัยน์ตา ๑ บริจาค

บุตรภรชยา ๑ บริจาคตน (ชีวิต) ๑ โดยไม่มีเหลือ. ไม่มีปริมาณของอัตภาพ

ที่พระมหาบุรุษบำเพ็ญทานบารมี

------------------------------------------------

จากข้อความในพระไตรปิฎกที่ยกมานั้น แสดงความจริงที่ว่า พระโพธิสัตว์

บำเพ็ญบารมี คือ การบริจาคอวัยวะ อันหมายรวมถึง โลหิตด้วย และ มีข้อ

ความว่า ไม่มีปริมาณของอัตภาพ หมายถึง นับจำนวนของชาติไม่ไดเลย

ที่พระองค์ทรงสละ ทรัพย์ อวัยวะ เลือด บุตร ภรรยา และ ชีวิตของพระองค์

เพื่อบำเพ็ญบารมี ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เป็นเหตุให้ โลหิตของพระองค์ที่ทรง

บริจาค สละไป เพื่อประโยชน์ในการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มีปริมาณนับไม่ได้เลย

ย่อมมากกว่า มหาสมุทรทั้ง 4 ครับ

ซึ่งผู้ถามได้ขอให้ยกข้อความในการบริจาคโลหิตขงพระโพธิสัตว์ ซึ่งขอยกมาดังนี้

เมื่อคราวพระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระเจ้าสิวิราช

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๓- หน้าที่ 613

สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

ในกาลเมื่อเราเป็นทารก เกิดมาได้ ๘ ปี เรานั่ง

อยู่บนปราสาทคิดเพื่อจะบริจาคทาน ว่าเราพึงให้หัวใจ

ดวงตา เนื้อ เลือด และร่างกาย ถ้าใครขอเราให้เราได้

ยิน เราก็พึงให้ เมื่อเราคิดถึงการบริจาคทานอันเป็น

ความจริง หฤทัยก็ไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นอยู่ในกาลนั้น

แผ่นดินซึ่งมีเขาสิเนรุและหมู่ไม้เป็นเครื่องประดับ ก็

หวั่นไหว.

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓- หน้าที่ 151

เมื่อไรหนอจะพึงมีใครๆ มาหาเราแล้วขอไทยธรรมอันเป็นวัตถุภายใน.

หากมีผู้ขออะไรๆ จะพึงขอเนื้อหทัยของเรา เราจักนำเนื้อหทัยนั้นออกด้วย

หอกแล้วนำหทัยซึ่งมีหยาดเลือดไหลดุจยกดอกบัวพร้อมด้วยก้านขึ้นจากน้ำใส

แล้วจักให้. หากพึงขอเนื้อในร่างกาย เราจักเชือดเนื้อในร่างกาย ดุจกรีดเยื่อ

น้ำอ้อยงบของตาลด้วยการขูด ออก. หากพึงขอเลือดเราจะเอาคาบแทงหรือ

สอดเข้าไปในปากแห่งสรีระแล้วนำเอาภาชนะเข้าไปรองจนเต็มแล้วจักให้เลือด.

-------------------------------------------

ดังนั้น การสละ บริจาคเลือด เพื่อประโยชน์ คือ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ย่อม

เป็นมหากุศล และ อีกประการหนึ่ง การสละเลือด บริจาคเลือด เพื่ออนุเคราะห์ผู้อื่น

เพราะ ผุ้ที่ต้องการโลหิต เพื่อความดำรงชีวิตอยู่ได้ มีอยู่ การสละ บริจาคโลหิตนั้น

ด้วยจิตอนุเคราะห์ ย่อมเป็ประโยชน์กับผู้รับ จิตขณะที่คิดสละ และ บริจาคนั้น ย่อม

จะเป็นกุศล เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นกุศลจิต กุศลกรรมแล้ว ที่เป็น ทานในกุศล ผลย่อม

ดี คือ ย่อมได้รับสิ่งที่ดี จะเกิดผล คือ การไม่ได้รับสิ่งที่ม่ดี คือ มีอวัยวะ ไม่บริบูรณ์

ในชาติหน้า ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย เหตุจึงไม่ตรงกับผล ครับ โดยนัยเดียวกัน แม้

แต่การบริจาคอวัยวะ ก็ด้วยจิตที่อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นกุสลจิต และ กุศล

กรรม ก็ย่อมให้ผลที่ดี เมื่อกรรมดีให้ผล ก็ย่อมพบกับสิ่งที่ดี บริบูรณ์ทุกอย่าง ย่อม

เป็นไปไมได้ที่จะทำให้เกิดผล คือ อวัยวะไม่บริบูรณ์ ครับ

ซึ่ง จะอย่างไรก็ดี แม้ ศาสตร์อื่นๆ จะกล่าวว่า จะทำลายสุขภาพ หากบริจาคเลือด

แต่ ในคามเป็นจริงแล้ว เลือดเมื่อมีการเสียไป ไขกระดูกย่อมทำหน้าที่ผลิตเลือด

ใหม่อยู่แล้ว ในปริมาณที่เหมาะสม ก็เป็นการเปลี่ยนเลือดใหม่ ก็เป็นประโยชน์กับ

สุขภาพด้วย หากบริจาคในปริมาณที่เหมาะสม ครับ

ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า หาก เข้าใจความจริงในสังสารวัฏฏ์แล้ว สัตว์โลกย่อมเกิด

และตายในที่สุด บางครั้งแม้แต่อัตภาพนี้ ก็มีการเสียเลือดจากอุบัตติเหตุต่างๆ ไม่

มากก็น้อย ก็เสียเลือดกันเป็นธรรมดา โดยที่การเสียเลอดนั้น ไม่ได้มีจิตคิด

บริจาคเลย แต่ ก็เสียเลือด ไม่ได้กุศล ขณะที่เสียเลอดเลย และ ในสังสารวัฏฏ์

พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงไว้ว่า สัตว์โลกทีเกิด ตาย นับชาติไม่ถ้วน เสียน้ำตา มาก

กว่าหมาสมุทรทั้ง 4 และ เสียเลือดมากมาย มากกว่ามหาสมุทรทั้ง 4 มาแล้ว

ดังข้อความที่ว่า

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้าที่ 489

โปรดทรงระลึกถึงสังสารวัฏฏ์ ที่ประกอบด้วย

นาตา น้ำนม และน้ำเลือด โดยความเป็นสังสารวัฏฏ์

ที่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ที่ตามไปไม่รู้แล้ว โปรดทรง

ระลึกถึงกองกระดูกทั้งหลาย ของเหล่าสัตว์ที่ท่องเที่ยว

อยู่.

โปรดทรงระลึกถึงมหาสมุทรทั้ง ๔ ในน้ำตา น้ำ

นมและน้ำเลือด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงน้อมนำมา

เปรียบเทียบ โปรดทรงระลึกถึงกองกระดูกทั้งหลาย

ในกัปหนึ่งที่เทียบเท่าภูเขาวิปุลบรรพต.

จากข้อความแสดงว่า สัตว์โลก เสียเลือดมามากกว่า มหาสมุทรทั้ง 4 แต่โดย

มากก็ไม่ใช่ด้วยเจตนาบริจาค ไม่ใช่ด้วยจิตที่เป็นกุศลทาน เพราะฉะนั้น ควรคิด

ไหมว่า ในชาตินี้ ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ยังไงก็ต้องเสียเลือดอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย

หากจะเป็นการเสียเลือดเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น และ เพื่อประโยชน์ คือ การเจริญ

ขึ้นของกุศลธรรม คือ การสละอวัยวะ ที่เป็นทานอุปบารมี ย่อมจะเป็นประโยชน์กว่า

ดังนั้น ก็ควรสละเลือดบ้างตามสมควร ตามแต่โอกาส และ สุขภาพของตนเท่าที่

ทำได้ ก็เป็นการแสดถึงความมั่นคงในการเจริญกุศลทุกๆ ประการ ที่ไมได้จำกัดเล

ว่า ต้องเป็นกุศลใด พร้อมกับการบำเพ็ญบารมี ที่เป็น ทานอุปบารมี อันจะเป็นบริวาร

เกื้อหนุน ปัญญาวารมี และ บารมีอื่นๆ เพื่อที่จะจึงฝั่ง คือ การดับกิเลส ครับ ดังนั้น

กุศลทุกๆ ประการควรเจริญ ตามกำลังความสามารถเท่าที่ทำได้ แต่ กุศลจะเจริญขึ้น

ได้นั้น อาศับปัญญาที่เกิดจากการศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 10 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยกับอีกแสนกัปป์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ นั้น ล้วนเป็นไปในการสะสมบารมีซึ่งเป็นคุณธรรม

ที่จะทำให้ถึงฝั่งแห่งการดับกิเลสประจักษ์แจ้งพระนิพพาน พระองค์ทรงเป็นผู้เสียสละ

เป็นอย่างยิ่งโดยไม่มีใครเป็นเหมือนพระองค์ได้เลย ทรงอดทนในการสะสมบารมีจนกว่า

จะถึงความสมบูรณ์พร้อม และผลแห่งการสะสมพระบารมี ก็เป็นเหตุให้พระองค์ทรง

ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระบารมีทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงอบรมมาก็

เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง พระองค์ทรงประกอบด้วยพระมหากรุณา

จึงทรงแสดงพระธรรมตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกของสัตว์โลก

อย่างแท้จริง

ยุคสมัยนี้พระธรรมยังดำรงอยู่ ก็เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาเห็น

ประโยชน์ของพระธรรม จะได้ฟังได้ศึกษาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก และน้อมประพฤติ

ปฏิบัติตามพระธรรม สะสมเหตุที่ดีเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า เป็นคนดีและศึกษา

พระธรรมให้เข้าใจ ก่อนที่จะละจากโลกนี้ไป ซึ่งเป็นการไม่เสียชาติเกิดเลย ที่เกิดมาแล้ว

ได้สะสมความดีและได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 10 ก.ค. 2556

พระโพธิสัตว์เคยบริจาคเลือดให้ภรรยา เพื่อรักษาชีวิตภรรยา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jaturong
วันที่ 11 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ