ไม่พึง ประมาทปัญญา

 
Dhammarak
วันที่  11 ก.ค. 2556
หมายเลข  23161
อ่าน  1,229

การเจริญปัญญาคือ การระลึกศึกษา พิจารณาลักษณะของนามและรูป ของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้รู้ชัดในสิ่งที่ปรากฏโดยความเป็นปรมัตถ์ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ขณะใดที่ระลึกรู้ พิจารณาด้วยปัญญาอยู่อย่างนี้ ชื่อว่ากำลังโน้มเอียงสู่นิพพานทีละก้าวๆ

ไม่พึงดูหมิ่นปัญญาว่าเล็กน้อยเลย คำว่าดูหมิ่นหรือประมาทปัญญานั้น หมายถึงว่า เห็นว่าการเจริญปัญญา เล็กๆ น้อยๆ ไม่มีผล การเจริญปัญญาขั้นต่างๆ ไม่มีผล การเจริญปัญญาอย่างเราๆ ไม่มีผล การเห็นอย่างนี้เป็นเครื่องกั้นกีดขวาง ไม่ให้ลักษณะที่เป็นจริง ปรากฏกับปัญญาได้ เมื่อปัญญาสมบูรณ์พร้อมจนสามารถมีกำลังออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ ท่านจะได้เห็นอานุภาพของปัญญา อย่างแท้จริง แม้เพียงหนึ่งขณะจิตที่ปัญญา สามารถออกจากวัฏฏะสงสารเกิดขึ้น ขณะจิตเดียวที่ไม่เคยเกิดมีมาก่อน ขณะจิตนั้นมีคุณมีค่า มีประโยชน์มากมายมหาศาล เป็นสิ่งที่นักปราชญ์ บัณฑิตทั้งหลาย สั่งสมปัญญามา เพื่อที่จะให้เกิดขณะจิตนั้น เป็นขณะที่เปลี่ยนโลกทั้งใบเลยก็ว่าได้ จากโลกที่เต็มไปด้วยคน สัตว์ บุคคล สิ่งของต่างๆ กลายเป็นโลกที่ราบเรียบเสมอกันไปด้วย นามธรรม และรูปธรรม เห็นหรือยังว่าไม่ใช่เป็นเพราะปัญญา ที่สั่งสมทีละเล็ก ทีละน้อย แต่ละภพแต่ละชาติ แล้วไซร้ จะเกิดภาวะการที่เรียกว่า การเห็นโลกในมุมมองใหม่ หรือการเห็นโลกที่เปลี่ยนไปนี้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นผู้ไม่ประมาทปัญญา ควรพิจารณาอยู่เนืองๆ ว่า

" ขณะนี้มีเพราะอะไร ? มีได้อย่างไร ? มีเพราะเหตุใดเล่า ? อะไรที่มีจริง เป็นจริงในขณะนี้ อะไรเล่าที่เป็นคุณ เป็นโทษ เป็นประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ในขณะนี้ ? แล้วสังขารขันธ์ก็จะปรุงแต่งไปในทางที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์ของเขาเอง "

กรรมฐานมี ๒ สิ่งสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ คือปัญญาการออกจากวัฏฏะ ส่วนการกระทำทั้งหมดที่เป็นไปในวัฏฏะไม่ทรงสรรเสริญ การพิจารณาธรรม สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจ สิ่งที่เป็นใหญ่คือ นามธรรม

ถ้าหากว่าเรามีความเข้าใจในการพิจารณาธรรมแล้ว อยู่ที่ไหนๆ ก็สามารถประพฤติปฏิบัติธรรมได้ ตอนนี้อะไรมีอยู่? แต่ละบุคคลย่อมมีสิ่งที่ปรากฏของแต่ละบุคคล ปัญญาก็เป็นของแต่ละบุคคลที่จะพิจารณา สิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งคือ ขณะที่ขวนขวายในเรื่องที่ออกจากวัฏฏสงสาร คุณค่า คุณประโยชน์ของพระรัตนตรัย จึงจะมีคุณค่าอย่างแท้จริง ขณะที่ศึกษาขวานขวายในเรื่องที่จะออกจากวัฏฏสงสาร ขณะนั้นเท่ากับว่าเราเห็นคุณค่าของพระรัตนตรัย ที่ว่า พระพุทธเจ้ามีคุณค่าหาที่สุดไม่ได้ พระธรรมมีคุณค่าหาที่สุดไม่ได้ พระสงฆ์มีคุณค่าหาที่สุดไม่ได้ ขณะใดที่เป็นไปในการดับวัฏฏะทุกข์ เป็นขณะที่เจริญงอกงาม เป็นอุดมมงคลสูงสุด เป็นสมัยที่มีคุณ มีค่ามาก แม้จะเกิดเพียงขณะจิตเดียวก็ตาม หรือเกิดไม่กี่ชั่วเวลาก็ตาม ขณะนั้นมีคุณมีค่ามากยิ่งกว่าชีวิตทั้งชีวิตของบุคคลหนึ่งที่จะเป็นไป

ขออนุโมทนา ชื่นชมยินดีในกุศลจิตของทุกท่านที่พร้อมใจกันทำช่วงเวลาของชีวิตหนึ่งของวัฏฏะสงสารให้มีคุณค่า มีประโยชน์ อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ได้เห็นคุณค่าของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยความเป็นรัตนะอันประเสริฐยิ่ง ประณีตงดงามที่สุด อันหาได้ยากยิ่งในโลก

บทความโดย ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
สิริพรรณ
วันที่ 19 ก.ค. 2556

อนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ