รักษาโรคหนึ่งแต่ไปก่ออีกโรคหนึ่งจะเป็นการเบียดเบียนตัวเองหรือไม่
ตามกระผมได้เคยเรียนถามอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับโรคที่กระผมรักษาอยู่คือโรคซึม
เศร้าโดยการทานยา แต่่ยาส่วนใหญ่จะมีผลต่อการเกิดโรคอื่นๆ เช่นโรคตา โรคไต เป็นต้น
ดังนั้นการรักษาโรคหนึ่งก่อให้เกิดอีกโรคหนึ่ง อย่างนี้จะเป็นการเบียดเบียนตัวเองหรือไม่
หรือจะเป็นอย่างที่เคยได้ฟังท่านอาจารย์บรรยายตอนหนึ่งว่า ถ้าไม่ใช่กรรมของตัวเราเอง
อะไรก็ทำอะไรไม่ได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมที่เบียดเบียนจริงๆ คือ ใจที่เป้นอกุศล สภาพธรรมที่เป็นอกุศลเกิด
ขึ้นเมอื่ใด เมอื่นั้นเบียดเบียนตนเองแล้ว และ ถ้าอกุศลมีกำลังมาก ก็ย่อมเบียดเบียน
ผู้อื่นด้วย ทั้งทางกาย และ วาจา ดังนั้น อกุศลเกิดขึ้นเมอื่ใด เบยดเบียนตนเอง
ก่อแล้ว ครับ ดังนั้น ที่ป่วยทางกาย ทานยานี้ก็ไปป่วยโรคนี้ หากมองเหตุที่ถูกต้อง
แล้ว การป่วยก็ไม่พ้นจากการรับทุกข์ทางกาย ซึ่ง ทุกข์ทางกาย ก็มาจากเหตุ คือ
อกุศลกรรมให้ผล ซึ่ง อกุศลกรรมจะมีได้ ก็เพราะมีกิเลส อกุสลจิตเกิดขึ้นใน
จิตใจทำให้ทำบาป และเป็นเหตุให้ได้รับผล คือ การป่วยที่เกิดขึ้น โดยไม่มีใคร
ทำให้ให้เลย ไม่มียาทำให้ป่วย มีแต่กรรมที่ทำให้ป่วย ดังนั้น เมื่อมองย้อน
ไปในอดีต สภาพธรรมที่เบียดเบียนได้เกิดขึ้นแล้วใอดีตชาติ เมอื่ได้ทำกรรมไม่ดี
ไว้ ขณะที่ทำกรรมกรรมไม่ดี ก็กำลังเบียดเบียนตนเองอยู่ในขณะนั้น คือ
ใจก็ถูกเบียดเบียนด้วยจิตที่เป็นอกุศล และ ก็เป็นเหตุให้ถูกเบียดเบียนในอนาคต
มีความป่วยเพราะ การทำกรรมไม่ดี ดั่งเช่นชาตินี้ที่มีการป่วยเกิดขึ้น ครับ
สัตว์ทั้งหลาย จึงมีกรรมเป็นของๆ ตน บัณฑิตผุ้มีปัญญา ย่อมพิจารณา
ความจริง หาเหตุที่เกิดขึ้นว่า มาจากกรรมที่ไม่ดีที่ทำไว้ จึงเป็นผู้ไม่ประมาท
ในชาติปัจจุบันที่จะเห็นโทษของอกุศที่ไม่ควรทำ ละเว้นสิ่งที่ไม่ดี และ เจริญ
กุศล อบรมปัญญาเท่าที่ทำได้ เพื่อเป็นเสียงทางไกลต่อไไปในสังสารวัฏฏ์
อันจะทำให้ถึงการดับกิเสสในอนาคต ครับ
ทุกข์ทั้งหลายมีได้เพราะโรคใจ โรคกาย สัตว์โลกไม่รู้ความจริง ก็สำคัญว่าเป็น
ทุกข์มาก แท้ที่จริง โรคกายก็มาจากโรคใจ ควรหายารักาาโรคใจ คือ ยาที่เป็น
พระธรรม เกิดปัญญา ขึ้น และ พร้อมๆ กับทานยาที่จะรักษาร่างกาย ตามเหตุปัจจัย
ที่สมควร เพื่อความดำรงชีวิตยู่ที่จะเจริญกุศล อบรมปัญญาต่อไป ครับ ขออนุโมทนา
ขอขอบพระคุณมากครับและขออนุโมทนาครับ ขอความคิดเห็นจาก อ.คำปั่นด้วนได้ไหม
ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตราบใดที่ยังมีกาย ก็ยากที่จะพ้นไปจากทุกข์ทางกายในลักษณะต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้น
เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย โดยเฉพาะเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทางกายก็คือ อกุศลกรรมที่
ตนเองได้กระทำไว้แล้วนั่นเอง ไม่มีใครทำให้เลย เป็นความจริงที่ว่า ในวันหนึ่งๆ ทุกคน
มักจะคิดถึงเรื่องสุขภาพของร่างกาย และเห็นโทษภัยของความเจ็บไข้ได้ป่วย และมีความ
ปรารถนาที่จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บ และมีการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ ซึ่งก็เป็นปกติ
ธรรมดา เมื่อไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องมีการพยาบาลรักษา แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะคิดไปว่า
โรคที่สำคัญกว่าโรคทางกาย ก็คือโรคทางใจ (โรคทางใจ หมายถึง กิเลสที่เสียดแทงใจ)
ซึ่งบางคนอาจจะไม่ได้พิจารณาเลยว่า โรคทางใจของตนเองมีอะไรบ้าง ซึ่งมีมากเหลือเกิน
ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ที่พร้อมจะเกิดขึ้นเสียดแทงใจให้เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา
และเมื่อไม่ได้สังเกต ไม่ได้สำรวจ ไม่ได้พิจารณาก็ย่อมจะไม่ได้เห็นโทษของโรคทางใจ
นั้น เพราะโรคทางใจเป็นโรคที่เห็นได้ยาก ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จะไม่รู้เลยว่า เต็มไปด้วยกิเลสมากแค่ไหน ลองพิจารณา
ดูแม้แต่ในวันนี้วันเดียวตั้งแต่เช้ามาจนถึงขณะนี้ เกิดเท่าไหร่แล้วสำหรับธรรมฝ่ายที่ไม่ดี
ที่เป็นอกุศลธรรม เพราะฉะนั้นการที่จะรักษาโรคทางใจ จะต้องใช้เวลานานในการ
สะสมอบรมเจริญปัญญาซึ่งเป็นหนทางที่จะเป็นไปเพื่อรักษาโรคทางใจได้ในที่สุด
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นยาดีที่สุด ที่รักษาโรคกิเลสได้ทุกโรค
จนหมดสิ้นจากใจ ครับ
สำหรับการรักษาโรค (ทางกาย) อย่างหนึ่งแล้วไปกระทบกับอวัยวะส่วนอื่นๆ นั้น คงต้อง
ปรึกษาแพทย์ ว่า มีทางที่จะรักษา หรือ มีวิธีป้องกันอย่างต่อไปเพื่อไม่ให้กระทบกับอวัยวะ
ส่วนอื่นๆ การรักษาสุขภาพร่างกายก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการที่จะได้สะสม
ความดีและอบรมเจริญปัญญา สะสมเป็นที่พึ่งต่อไปในภายหน้า ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...