เล่นกีฬาแล้วมีการหลอกล่อคู่แข่งผิดศีลหรือไม่ครับ

 
Jetanat
วันที่  13 ก.ค. 2556
หมายเลข  23171
อ่าน  1,141

การเล่นกีฬาเช่นบาสเกตบอล ฟุตบอล นั้นในบางครั้ง เราต้องมีการหลอกล่อเพื่อที่จะ

ทำแต้มหรือยิงประตู เช่น หลอกว่าจะเลี้ยงลูกไปทางซ้าย แต่ก็วกกลับมาเลี้ยงลูกทางขวา

หลอกว่าจะยิงประตูเพื่อให้คู่แข่งเผลอตามเราหรือเสียจังหวะ แล้วเราก็เปลี่ยนเป็นส่ง

หรือเป็นเลี้ยงแทน แบบนี้จะเป็นการผิดศีลข้อสี่หรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำหรับ ศีลข้อที่ 4 ที่เป็น มุสาวาท สามารถแสดงออกทางกาย วา และใจได้ ซึ่ง

ขณะใดที่มีเจตนาที่จะหลอกหลวง เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ในสิ่งที่ไม่จริง ว่าจริง

ย่อมเป็นมุสาวาท ดังนั้น แม้จะมีเจตนาหลอกให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่า จะไปทางซ้าย

โดยทำท่าทางหลอกไปทางซ้าย แต่ ตนเองจะไปทางขวา การทำให้ผุ้อื่นเข้าใจผิด

ก็มีเจตนาที่ไม่ตรงด้วยอกุศลจิตในขณะนั้น อันเป็นการแสดงออกมาทางกาย แต่

ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ถึงกับผิดศีลข้อที่ 4 ที่เป็นมุสาวาทเลยทีเดียว เพราะ การจะผิดศีล

ข้อที่ 4 ล่วงศีล ครบกรรมบถ มุสาสาทนั้น จะต้องเป็นอกุศลจิตที่มีกำลังที่แสดงออก

มาทางกาย และ วาจา ที่ทำลายประโยชน์ของผู้เข้าใจผิด ให้เสียหายทรัพย์ หรือ

หักรานประโยชน์มากๆ จึงชื่อว่า ผิดศีลข้อ 4 ครบกรรมบถ ครับ

ชีวิตของปุถุชน จึงดำเนินไปตามกิเลสที่เป็นปกติของปุถุชนทีเกิดอกุศลจิต และ

มีการแสดงออกทางกาย และ วาจาด้วยอกุศลเป็นธรรมดา ครับ ควรที่จะเข้าใจความ

จริงเช่นนี้ ที่ใช้ชีวิต ที่เป็นปกติศีล คือ เป็นปกติด้วยความประพฤติที่เป็นอกุศลศีล

ด้วยความประพฤติเป็นอกุศลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง ก็จะต้องมีความไม่ตรง คดเป็นธรรมดา

ทางกาย วาจา เพราะ อกุศลเป็นสภาพธรรมที่คด ไม่ตรงเลย

จึงควรเข้าใจในความละเอียดของสภาพธรรมว่า ขณะใดที่คิดหลอกคนอื่น ขณะนั้น

มีสภาพธรรมที่กำลังหลอกตนองอยู่ ไม่ให้รู้ความจริง คือ สภาพธรรมที่เป็นอกุศล เป็น

สภาพธรรมที่หลอกลวงตนเอง เป็นอันดับแรก เพราะหลอกลวงว่าดี หลอกลวงให้

เข้าใจผิด หลอกลวง ให้ยึดถือว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีเราที่ทำบาป มีเราที่ทำดี ถูก

หลอกลวงอยู่เกือบตลอดเวลา หนทางการละกิเลส ละความหลอกลวงด้วยกิเลส

คือ การเจริญกุศล และ อบรมปัญญา ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ไม่หลอกลวง เพราะ

เป็นสภพาธรรมที่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง อันเกิดพร้อมกับ ตัตรมัฌตตาเจตสิกที่

เป็นสภาพธรรมที่ตรง ไม่คดโกง เมื่อปัญญาเจริญ เกิดขึ้น ย่อมทำให้เห้นตามความ

เป็นจริง ไม่หลอกลวงด้วยอกุศล เพราะละอกุศลที่เป็นสภาพธรรมที่หลอกลวง และ

เมื่อปัญญาเจริญขึ้น กาย วาจาก็ย่อมเป็นไปในทางที่ดี ละ ความหลอกลวงในชีวิต

ประจำวันเพิ่มขึ้น ค่อยๆ เป็นผู้ตรงทางกาย และ วาจาในชีวิตประจำวัน ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Jetanat
วันที่ 15 ก.ค. 2556

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 15 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตประจำวันตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย ก็ยากที่จะพ้นไปจาก

อกุศลซึ่่งมีมากจริงๆ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมจะไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งๆ อกุศลเกิดมากแค่

ไหน เพราะขณะใดก็ตามที่ไม่ได้เป็นไปในทาน การให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ได้เป็น

ไปในศีล การวิรัติงดเว้นจากทุจริต ไม่ได้เป็นไปกับการอบรมเจริญความสงบของจิต

ไม่ได้เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญาแล้ว ก็เป็นอกุศลทั้งหมด เป็นการโปรยธุลีลง

ในจิต สำหรับผู้ที่เริ่มเห็นโทษของอกุศล และเห็นคุณของกุศล แล้ว แม้จะยังมีอกุศล

เกิดขึ้นเป็นไป มีความติดข้องยินดีพอใจ มีความขุ่นเคืองไม่พอใจ เป็นต้น ก็จะไม่ถึงกับ

กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนเลย พร้อมทั้งไม่ประมาท

ในการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เพราะความเข้า

ใจพระธรรม นี้เองจะเป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลที่ดีประครองชีวิตให้เป็นไปในทางที่ถูก

ที่ควรยิ่งขึ้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 15 ก.ค. 2556

ไม่ผิดศีลข้อ 4 แต่กายเป็น กายทุจริต ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Jetanat
วันที่ 16 ส.ค. 2556

ขอขอบคุณและอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
lovedhamma
วันที่ 19 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ