เจตนาไม่ปฏิบัติหน้าที่ ในทางพุทธศาสนาจะเป็นบาปหรือไม่

 
kinder
วันที่  14 ก.ค. 2556
หมายเลข  23174
อ่าน  1,044

กราบเรียนท่านอาจารย์ ผมมีอาชีพเป็นเภสัชกร ปฏิบัติหน้าที่ประจำที่ร้านขายยา

ของตนเอง แต่ก็มีเพื่อนที่เป็นเภสัชกร ทำงานในที่ต่างๆ และมีรายได้พิเศษจากการ

นำใบประกอบวิชาชีพไปแขวนไว้ในร้านขายยา โดยผู้ที่เป็นเภสัชกรไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่

หลายท่านคงเคยไปร้านขายยาแต่ไม่มีเภสัชกรอยู่ อยากทราบว่าในทางพุทธศาสนา

เป็นมิจฉาอาชีวะ ผิดศีล และ เป็นบาปหรือไม่ครับ บุญและบาป เป็นธัมมะที่ละเอียด

ขอความอนุเคราะห์ด้วยครับ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มิจฉาอาชีวะ มุ่งหมายถึง การประกอบอาชีพ ที่เป็นในการทุจริต เบียดเบียนผู้อื่น

ทางกาย วาจา เป็นต้น เช่น การทำการค้าขาย แล้ว พูดโกหก ในการค้าขาย หรือ

การทำทุจริต คดโกงในการค้าขาย เป็นต้น อย่างนี้ เป็นมิจฉาอาชีวะ ซึ่ง จากกรณี

ที่ผู้ถาม ถามมานั้น ไม่ได้มีการแสดงความทุจริต ที่เป็นในการล่วงศีล อันจะเอื้อต่อ

การเป็น มิจฉาอาชีวะเลย เพราะ การที่เภสัชกร ไม่อยู่ ไม่ได้หมายความว่า เราจะมี

เจตนาคดโกง เพียงแต่ ควรเป็นจรรยาบรรณที่ควรอยู่ แต่หากไม่อยู่ เนื่องด้วยติด

กิจธุระ หรือ มีงานมาก เมื่อไม่อยู่ ก็ไม่ได้มีเจตนาทุจริตเช่นนั้น ครับ เพราะฉะนั้น

ควรแยกระหว่าง เจตนาทุจริต แม้จะอยู่ดูแลร้าน แต่พูดโกหกในตัวยา เพื่อให้ได้

กำไร ทำทุจริต คดโกงลูกค้า หรือ คดโกง บริษัทที่เรารับยามา เป็นต้น อย่างนี้

เป็นมิจฉาอาชีวะ เป็นอาชีพที่ผิด เพราะทำทุจริตในการผิดศีลด้วย ครับ

ส่วน การไม่ได้อยู่ดู อยู่ในร้านของตนเอง ที่ควรจะอยู่ ก็ไม่ได้ทำทุจริตในผิดศีล

ที่เนื่องในการประกอบอาชีพในขณะนั้น จึงไม่ใช่ มิจฉาอาชีวะ ครับ เพราะฉะนั้น

สิ่งที่ไม่ควรทำในทางโลก ไม่ได้หมายถึง จะต้องเป็นมิจฉาอาชีวะ ผิดศีล ครับ

การดำรงชีวิต ในการประกอบอาชีพ ก็สามารถเป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ดี ที่แม้

ประกอบอาชีพก็สามารถเกิดกุศลจิตประการต่างๆ มีความเมตตา กรุณา ต่อลูกค้า

คนไข้ หรือผู้คนรอบข้าง รวมทั้งการทำกุศล ด้วยการเจริญอบรมปัญญา แม้จะมี

อาชีพใด ก็สามารถอบรมปัญญา สะสมความดี ปัญญาประการต่างได้ เพราะสัตว์-

โลก ก็มีอาชีพแตกต่างกันไป ในแต่ละชาติ แต่สิ่งที่สะสม และ ควรสะสมต่อไป

คือ ปัญญา ความเห็นถูก เพราะเมื่อมีปัญญา ความเห็นถูกแล้ว แม้ประกอบอาชีพ

อะไร ก็สามารถเกิดกุศลจิต และ ดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ในการทำอาชีพนั้น

ด้วยความสุจริต ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 15 ก.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละคนก็มีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม แม้แต่การประกอบอาชีพก็ต่างกัน

ออกไปตามความถนัดตามความสามารถของแต่ละคนจริงๆ ก็เป็นความเป็นไปตราบ

ใดที่ยังมีการเกิดวนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ ถ้าเห็นโทษของอกุศลแล้วก็จะไม่กระทำในสิ่ง

ที่ผิดที่เป็นบาปอกุศลกรรมอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นไปในเรื่องใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะ

อย่างยิ่งผู้ที่เป็นเภสัชกรมีความรู้ในด้านยารักษาโรคต่างๆ อาชีพที่ประกอบอยู่ย่อม

เอื้ออำนวยต่อการช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้มากทีเดียว ก็ควรที่จะมั่นคง

ดำรงอยู่ในความถูกต้อง คือ ความดี แม้ว่าผู้อื่นจะเป็นคนไม่ดี ไม่ซื่อสัตย์สุจริต แต่เรา

ก็จะไม่เป็นคนไม่ดีตามเขา พร้อมทั้งเป็นผู้ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม ศึกษาพระ

ธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป เพราะความเข้าใจพระธรรมนี้แหละที่จะอุปการะ

เกื้อกูลให้แต่ละคนเป็นคนดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใด ประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 15 ก.ค. 2556

ขายยารักษาโรค เป็นสัมมาอาชีวะ เป็นอาชีพสุจริต ไม่ผิดศีล5 ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Parinya
วันที่ 16 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนากับท่านผู้ถาม และคำตอบของ คุณPaderm และคำตอบของ อาจารย์คำปั่นครับ

ถ้าเพื่อนของคุณ kinder จะได้เห็นคำตอบของอาจารย์คำปั่นก็จะช่วยให้เขามีความเห็นถูกครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 16 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ