อย่างไรจึงจะเรียกว่าเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ - สนทนาธรรม ณ แพรวอาภาเพลส ราชบุรี

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  14 ก.ค. 2556
หมายเลข  23176
อ่าน  891

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถอดคำบรรยายธรรม ของ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

อย่างไร จึงจะเรียกว่า เข้าใจ ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

ณ แพรวอาภาเพลส ราชบุรี อังคาร ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๖

คุณจรัญ ฉลวยศรีเมือง (ผู้ดำเนินรายการ) มีคำถาม นี่เขียนมาจากบ้านเลย นะครับ

ดิฉัน ได้ฟัง ท่านอาจารย์สุจินต์ บรรยายธัมมะ มาประมาณ ๓ ปี ได้ ก็พอจะรู้ว่า อะไรบ้าง นิดๆ หน่อยๆ เรื่อง จิต เจตสิก รูป ก็เพียง เริ่มที่จะรู้ว่า มีอะไรในความมืด เพราะมืดมาตลอด แต่ยังไม่สว่างพอ ที่จะรู้ ลักษณะของจิต ลักษณะของรูป ฟังจาก ซีดี ที่ท่านอาจารย์บรรยาย ท่านอาจารย์ กล่าวว่า ถ้าสามารถที่จะเข้าใจลักษณะสิ่งที่ปรากฏ นั้น คือ การศึกษาของเราถูกต้อง

ขอเรียนถามว่า อย่างไร จึงจะเรียกว่า เข้าใจ ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ

กราบขอบพระคุณค่ะ

ท่านอาจารย์สุจินต์ ก็เป็นเรื่องที่เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ เพียงแต่เราพูดว่า “เป็นธัมมะ” แต่เรารู้ว่า “เป็นธัมมะ” จริงๆ หรือเปล่า หรือว่า เพียงแต่เริ่มฟัง ว่า เห็นขณะนี้ มีจริง เป็นธัมมะ แต่ เห็น ขณะนี้ เป็นธัมมะ จริงๆ หรือยัง หรือว่า ยังคง เป็นเรา อยู่ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กว่า การที่เราจะรู้จริงๆ มั่นคง ว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง เป็นธัมมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ก็ต้องอาศัย การที่ฟัง แล้วก็ไม่ลืมด้วย

ทุกคนกระทบสัมผัสแข็ง ใช่ไหมคะ แล้วแข็งมีจริงๆ เป็นธัมมะ หรือเปล่า ก่อนอื่น เพียงขั้นฟัง ต้องพิจารณา ตามลำดับ ว่า แล้ว แข็ง เป็นธัมมะ หรือเปล่า เป็น แน่นอน ถ้าแข็งไม่เกิดขึ้น จะปรากฏว่า มีแข็งไหม - ก็ไม่มี แต่เราไม่เคยคิดเลยค่ะว่า แข็งที่ปรากฏ ขณะนี้เกิด เราคิดว่า เรากระทบแข็ง เหมือนกับว่า มีแข็งอยู่แล้ว แต่ว่า ตามความเป็นจริง ว่า ก็คือว่า ถ้าไม่มีการเกิดขึ้น ก็ไม่มี และ สิ่งที่ไม่รู้ ก็คือ ว่า แข็งที่ปรากฏ ดับแล้ว

ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปรากฏ ในขณะนี้ ดับแล้ว แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ ดับแล้ว เพราะฉะนั้น จะรู้ว่า เข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ก็คือว่า เป็นจริง อย่างนี้ หรือยัง ไตร่ตรอง ถ้าเป็นจริงอย่างนี้ ยังไม่ได้ประจักษ์ การเกิดจริงๆ การดับจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็เพียงแต่ ขั้นปริยัต ปริยัตติ กว่าจะรอบรู้จริงๆ ไม่สงสัยเลย ว่า ขณะนี้ ที่กำลัง เห็น ไม่มีใครเลย ชักงงแล้ว ใช่ไหมคะ

เพราะว่า เห็นเป็นคน เยอะแยะมากมายเลย เห็นเป็นสิ่งต่างๆ แต่ว่า ตามความเป็นจริงเนี่ยค่ะ เห็นเกิดแล้วดับ แล้วสิ่งที่ปรากฏ เล็กน้อยมากถ้าไม่คิดถึงรูปร่างสัณฐานต่างๆ ถ้าเป็นสิ่งที่ขาวไปหมด มืดไปหมด หรือ สว่างอย่างเดียวนะคะ ไม่มีสีอื่นเลย จะว่า มีคน มีสัตว์ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ปรากฏ ได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่เนื่องจาก สิ่งที่ปรากฏ ก็ปรากฏ อย่างนี้แหละ รวดเร็วมาก เกิดดับ จนปรากฏ เป็น สิ่งที่เหมือนเที่ยง พร้อมกับรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็ทำให้ยึดมั่น ด้วยการไม่รู้ความจริงว่า ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ผู้ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ตรัสรู้ เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระมหากรุณา แสดงความจริง ให้คนอื่น ได้เริ่มเข้าใจ แค่เข้าใจก่อน แต่ต้องเข้าใจ อย่างมั่นคง ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคิดว่า ไม่เที่ยง ตั้งแต่ เกิด ไปจนถึงแก่ น่ะ ช้าไป ตั้งแต่ เมื่อวานนี้ จนถึงวันนี้ ก็ช้าไป เพราะว่า ตามความจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดแล้วดับทันที แต่สืบต่อเร็วมาก นะคะ จนการเกิดดับไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่ามี สิ่งที่เกิดต่อ สืบต่อแทน อย่างเร็วมาก จนกระทั่ง ทำให้ดูเหมือนกับว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เที่ยง แต่ว่า จากการทรงตรัสรู้ ตรัสไว้ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น มีความดับ เป็นธรรมดา เป็นธรรมดาของสิ่งนั้น คือ เกิดแล้วดับทันที เร็วมากเลยค่ะ

เพราะฉะนั้น เห็น เมื่อกี้นี้ ไม่ใช่ เห็น เดี๋ยวนี้ ถูกต้องไหมคะ ได้ยิน เมื่อกี้นี้ ก็ไม่ใช่ ได้ยิน เดี๋ยวนี้ แข็งที่กระทบสัมผัสเมื่อกี้นี้ กับ แข็งที่กำลังกระทบสัมผัส ก็ไม่ใช่แข็งเมื่อกี้นี้ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เราก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจ ความต่างกัน ของ ปุถุชน ผู้หนาแน่นด้วยกิเลสและความไม่รู้ กับ ผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ ผู้ที่เป็นสาวก ก็ได้ฟังพระธรรม ไตร่ตรอง อบรมเจริญปัญญา จนประจักษ์แจ้งความจริง

สาวกท่านแรก ก็คือ ท่านพระอัญญาโกญทัญญะ เป็นผู้ที่เป็นพยาน ของ การตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า มิใช่เพียงพระองค์เดียวที่ทรงตรัสรู้ แต่ยังทำให้บุคคลอื่น นี่นะคะ ได้เกิดความเข้าใจ เห็นถูกตามความเป็นจริง จึงได้ มี พระรัตนตรัย คือ มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระธรรม และ มีพระอริยสาวก เป็น เครื่องพิสูจน์ว่า ธัมมะนั้น ไม่เป็นโมฆะ ค่ะ

สิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง เนี่ย วันหนึ่ง จะถึง การรู้แจ้งความจริงได้ แต่ต้องประกอบด้วย “บารมี”

สาวกบารมีต้องมีการฟัง ต้องมีความเข้าใจ แล้วต้องมีการอบรมเจริญปัญญา เพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย ซึ่งเมื่อเป็น “ปัญญา” แล้ว ก็สามารถที่จะนำทางชีวิตได้ถูกต้อง ไม่เหมือนเดิม คือ ด้วยความไม่รู้ ชีวิตก็ดำเนินไปนะคะ ด้วยความไม่รู้ แต่ เมื่อมีความรู้ว่า สิ่งใดดี สิ่งใดควร สิ่งใดถูกต้อง เช่น การฟังธรรม ก็น่าจะ “พิจารณา” ฟัง ดี หรือ ไม่ดี ใช่ไหมคะ ถ้า ฟัง ดี แล้วแน่ใจ ฟัง ต่อไป อีกหรือเปล่า หรือว่า แค่วันนี้วันเดียว ก็เป็น เครื่องแสดงให้เห็นว่า แม้ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง มีจริง แต่ว่า แล้วแต่ การสะสมมา ที่เห็นประโยชน์ว่า ถ้าฟัง เพียงเท่านี้ ก็รู้เพียงเท่านี้ แต่ถ้าฟัง มากกว่านี้ ก็จะเข้าใจ มากกว่านี้ เพราะฉะนั้น ชีวิตของผู้ที่มีความเข้าใจถูก จะต่างกับ ชีวิต ของ ผู้ที่ไม่รู้ ความจริงของธัมมะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 15 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pamali
วันที่ 15 ก.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 16 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สิริพรรณ
วันที่ 20 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนาแด่ท่านที่นำข้อความมาเผยแพร่

ขอกราบแทบเท้าท่านอ.สุจินต์เป็นอย่างสูง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ