ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ๑๐ - ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
(ภาพพระประธานในพระอุโบสถ วัดเนรมิตวิปัสสนา อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย)
เมื่อวันที่ ๑๐ - ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ได้เดินทางไปยังอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
ในโอกาสอันเนื่องมาจากที่ท่านได้รับจดหมาย จากสามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่ได้มีมาถึงท่าน
ว่า สามีของท่าน ซึ่งปัจจุบัน มีอายุ ๔๕ ปี ได้เคยฟังธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยาย
มาตั้งแต่อายุประมาณ ๑๔-๑๕ ปี ซึ่งเป็นการรับฟังจากสถานีวิทยุ สทท. เลย ในขณะนั้น
และ ได้กลับมาฟังอีก เมื่อราวสองปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งท่านทั้งสองก็ได้ฟังมาโดยต่อเนื่อง
ท่านเล่ามาในจดหมาย ถึงความหวังอันสูงสุดในชีวิตของท่าน ที่ท่านจะมีโอกาส
ได้กราบเท้าท่านอาจารย์ สักครั้งหนึ่ง ในชีวิต แต่ยังไม่มีโอกาสที่จะเดินทางมาได้
เนื้อความในจดหมายที่ท่านเขียนมา แสดงถึงความศรัทธาอย่างยิ่ง
ในการศึกษาพระธรรม ตามแนวทางที่ถูกต้อง ตามที่ท่านอาจารย์บรรยาย
ประการที่สำคัญ คือ ท่านอาจารย์ ได้มีเมตตาอย่างยิ่ง
ที่จะเดินทางไปเกื้อกูล แก่ท่านทั้งสอง ถึงจังหวัดเลย
นี่จึงเป็นที่มาของการเดินทางไป ของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ในช่วงเวลาดังกล่าว
ข้าพเจ้าเองได้ทราบข่าวด้วยความปีติอย่างยิ่ง ในกุศลศรัทธาของท่านทั้งสอง
ยิ่งเมื่อได้ทราบว่า ท่านอาจารย์ จะเดินทางไป ในช่วงเทศกาลผีตาโขน
ซึ่งเป็นงานเทศกาลใหญ่ ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลก
ข้าพเจ้าก็ไม่รีรอเลย ที่จะตัดสินใจเดินทางไปจังหวัดเลยด้วย
และ การเดินทางไปครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการที่ข้าพเจ้าจะได้ขับรถไปเที่ยว
ชื่นชมบรรยากาศ ธรรมชาติ ทิวทัศน์ เทือกเขาที่สวยงาม สองข้างทางของจังหวัดเลย
อย่างที่ชื่นชอบแล้ว ยังจะได้ถ่ายภาพ ผีตาโขน ที่มีสีสันสวยงาม น่าตื่นตา
อันเป็นความคิดหวังในใจของข้าพเจ้ามานานแล้ว
ยิ่งเมื่อคิดว่า จะเป็นการได้ถ่ายภาพสวยๆ มาประกอบกับความการสนทนาธรรม
ที่ท่านอาจารย์มีเมตตา เดินทางไกลไปเกื้อกูลแก่ท่านที่เขียนจดหมายมาด้วยแล้ว
จะยิ่งเป็นความวิเศษสุด ครั้งหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้า และ แม้ของทุกๆ ท่าน ด้วยทีเดียว
แม้การได้เดินทางมาที่ภูเรือ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของจังหวัดเลย
ก็เคยอยู่ในใจ ที่ข้าพเจ้าอยากจะเดินทางมาชม นานมาแล้ว เช่นกัน
เพราะได้ทราบว่า มีวิว ทิวทัศน์ ที่สวยงาม และมีอากาศที่สดชื่น เย็นสบาย
หากได้ขึ้นมาชม ในตอนเช้าตรู่ ก็จะได้เห็นทะเลหมอกที่สวยงาม ไกลสุดสายตา
ความหวังในใจที่เคยมีมานั้น บัดนี้ก็ปรากฏอยู่เฉพาะหน้า
ให้ได้พิจารณา และ มั่นคงขึ้น ในความที่ว่า ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุและปัจจัย
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่เกิดขึ้น ด้วยความต้องการของใคร
แม้ว่าจะอยากมานานแล้ว แต่ขณะที่อยากนั้น ไม่ได้มา และ ไม่เคยมา
แต่ก็เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ในขณะนี้ แม้ไม่อยาก แต่หากจะได้เห็น ก็จะได้เห็นเอง
แน่นอนว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ปรากฏ ในขณะนั้น ดับแล้ว ไม่เหลือแล้ว ในขณะนี้
และ หากจะกล่าวว่า เหลือเพียงความทรงจำ
ก็ควรรู้ว่า แม้ความทรงจำนั้น ก็ดับไปแล้ว ในขณะที่เห็นนั่นเอง
สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จึงมีเพียง "คิด" คิดถึงสิ่งที่เคยเห็นและเคยจำ เท่านั้น
แม้จะได้ฟังมานับครั้งไม่ถ้วนว่า ขณะนี้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
แต่ ความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น จากการได้ฟัง บ่อยๆ เนืองๆ เท่านั้น
ย่อมเป็นประโยชน์แก่บุคคล
ความน้อมไปในความจริงที่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงแล้วนั้น
แม้เพียงขณะหนึ่ง ที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นประโยชน์ ในทุกที่ ทุกสถาน
หาไม่ บุคคลก็ละเลย ความที่ท่านกล่าวเตือนว่า
เป็นผู้ที่ประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม
(ภาพพระพุทธรูป ที่ประดิษฐานบนยอดสูงสุดของภูเรือ)
ข้าพเจ้าคิดอยู่ประการหนึ่ง โดยเสมอๆ ว่า การที่บุคคล ได้มีโอกาส อยู่ใกล้ๆ ท่านอาจารย์
ประโยชน์ คือ การได้เงี่ยโสตสดับรับฟัง ธรรมะที่ท่านกล่าว ในทุกที่ ทุกสถาน ที่ท่านไป
แน่นอนว่า การไปในที่ต่างๆ โดยมาก ก็เป็นไปกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต่างๆ
และ ความคิดนึก ที่ไหลไป ด้วยอกุศลมากมาย ที่แต่ละบุคคลได้สะสมมา
ซึ่งก็เป็นปรกติธรรมดา ของปุถุชน ผู้หนาไปด้วยกิเลส เช่นเราๆ ทุกคน ที่สะสมมาเนิ่นนาน
จะให้ละคลาย หมดสิ้นไปโดยเร็ว ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้ ในกาลเวลาเพียงเล็กน้อย
แต่การที่มีโอกาสได้ฟังความจริง ได้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ บ่อยๆ เนืองๆ
ย่อมเป็นหนทางเดียว ที่บุคคล ควรสะสมไว้ หาใช่การไปทำสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ไม่
เราเดินทางถึง ที่พัก ที่ ภูนาคำรีสอร์ท อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ราวๆ ๕ โมงเย็น
เป็นรีสอร์ท ที่สวยงาม อยู่ในหุบเขา อากาศดีมากครับ บรรยากาศโดยรอบก็ดีมาก
ที่สำคัญ อยู่ในตัวอำเภอด่านซ้ายเลย พอพูดคำว่าเลย ที่จังหวัดเลย ก็ดูจะเลยๆ ชอบกล
เช่นคำว่า " ไปไหน ไปเลย " ก็ดูเหมือนจะออกอาการไล่ให้ไปพ้นๆ ถ้าไม่ฟังให้ดี
เรื่องของภาษา ก็เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เมื่อได้ยินได้ฟัง
ข้าพเจ้า ได้ที่พักเป็นบ้านบนเนินเขาแสนสวย ซึ่งคุณเต้ย (คุณเผดิม ยี่สมบุญ)
แจ้งว่า ข้าพเจ้ายังหนุ่มมีกำลัง เดินขึ้นเนินเขา ลงเขาได้ดีกว่าท่านผู้ใหญ่ทั้งหลาย
ใครๆ เห็น ก็บอกว่า น่าอยู่มาก อยากสร้างบ้านแบบนี้อยู่เอง
ก็อย่างที่ข้าพเจ้าบอกแล้ว จะได้เห็นอะไร จะได้สิ่งไหน เดี๋ยวก็จะได้เห็นเอง
เห็นดี ก็รู้ว่า เพราะเคยทำสิ่งที่ดีไว้ เห็นไม่ดี ก็ ในทางตรงกันข้าม
ก็ในเมื่อเป็นปุถุชน ผู้หนาไปด้วยกิเลส ย่อมกระทำ ทั้งกรรมดี และ กรรมไม่ดี มานับไม่ถ้วน
จึงจะหวังแต่ผลที่ดีได้อย่างไร?
แต่หากบุคคล ได้รับผลที่ดี บ่อยๆ ก็ย่อมไม่ประมาทว่า ผลที่ไม่ดี อาจจะมีในไม่ช้า
และ ประการสำคัญ คือ รู้ว่า ไม่ว่าผลดี หรือ ผลไม่ดี ที่เกิดขึ้นนั้น เป็นแต่ธรรม ไม่ใช่เรา
ความเข้าใจ ในธรรม ในกรรม และ ผลของกรรม จะมั่นคงขึ้นได้
ก็ด้วยความเข้าใจ จากการฟังพระธรรม ในหนทางที่ถูกต้อง ที่ท่านอาจารย์ ได้แสดง
ด้วยความมั่นคง และ ซื่อตรงอย่างยิ่ง มานานร่วม ๖๐ ปีแล้ว
เมื่อเริ่มเข้าใจ ย่อมเป็นผู้ที่ไม่เดือดร้อน ในสิ่งทั้งปวง ตามกำลังของความเข้าใจนั้นเอง
อีกท่านหนึ่งที่ต้องขอขอบพระคุณและอนุโมทนา คือ คุณเล็ก สุรภา ภวนานันท์ ผู้จัดทริปนี้
ผู้ซึ่งท่านอาจารย์ และ ใครๆ ก็กล่าวชมว่า จัดได้ดีทุกทริป
โดยเฉพาะทริปนี้ นอกจากที่พักที่มีบรรยากาศที่ดีแล้ว ทุกๆ อย่างก็ประทับใจดีมากครับ
ที่ข้าพเจ้ากล่าวมาโดยยืดยาว จุดประสงค์ประการหนึ่ง ก็คือ ถ่วงเวลา
ถ่วงเวลา เพราะเป็นการรวมภาพและความเป็นไปทั้งสามวัน ไว้ในการรายงานในตอนเดียว
ถ่วงเวลา เพราะ นานๆ ข้าพเจ้าก็อยากจะเล่าเรื่องอะไรๆ ให้ทุกท่าน ได้ฟังบ้าง
ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพื่อจุดมุ่งหมาย เพียงประการเดียว
คือ ความเข้าใจธรรมะ
ไม่มีอื่นเลย
สำหรับข้าพเจ้า การเดินทางไปจังหวัดเลยของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในครั้งนี้
เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่มีค่ายิ่ง
เป็นครั้งหนึ่ง ของการที่เหตุปัจจัยทั้งหลาย ได้ปรุงแต่ง ให้ได้ซาบซึ้ง ในรสของพระธรรม
ที่ท่านแสดง ด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง แก่สามีภรรยาคู่หนึ่ง ที่อยู่ไกลถึงจังหวัดเลย
แต่ด้วยบุญ ที่ท่านทั้งสองได้กระทำไว้แต่ปางก่อน
จึงไม่ใช่เรื่องเกินวิสัย ที่ วันหนึ่ง ท่านทั้งสอง จะได้รับสิ่งที่มีค่าที่สุดของชีวิต ในชาตินี้
อย่างที่ท่านทั้งสอง ไม่เคยคิดมาก่อนแน่นอนว่า ท่านจะได้รับ และ ไดัรับแล้วในวันนั้น
ขออนุญาตนำความการสนทนาที่ไพเราะอย่างยิ่ง ณ ภูนาคำรีสอร์ท อ.ด่านซ้าย จ.เลย
ในตอนบ่าย ของวันพฤหัสบดี ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
มาบรรณาการแด่ทุกท่าน ผู้ที่ได้เคยกระทำบุญไว้แต่ปางก่อนด้วยเช่นกัน
แม้ว่าอาจจะเป็นกระทู้หนึ่ง ที่มีความยาวมาก แต่เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา นะครับ
ท่านอาจารย์ ตอนนี้ก็ได้มีเวลาการสนทนาธรรมะ
ได้เข้าใจ สิ่งที่เราได้ฟังความจริง
ธรรมะ เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก
เพราะ แม้แต่เผชิญหน้าอยู่เดี๋ยวนี้ เนี่ยค่ะ เห็นไม๊คะ?
ถ้าเป็นปัญญา ก็รู้ความจริง
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านก็รู้ความจริง ของสิ่งที่มี เดี๋ยวนี้
ไม่ใช่สิ่งที่หมดแล้ว เมื่อกี้นี้ หรือ สิ่งที่ยังไม่มาถึง
แต่ เพียงฟังแค่นี้ เราก็จะเห็นได้ว่า
ยาก แสน ยาก
ที่จะมีความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
เพราะว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ ต้องจริงแน่
เราไม่ได้คิดฝัน แต่ว่า กำลังมีให้เห็น หรือว่า ให้ได้ยิน
ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกขณะ ในชีวิต
เป็นสิ่งที่มีจริง
แต่ถ้าไม่มีใครบอก ไม่มีใครพูดถึง เราก็คิดไม่ถึง
ว่า ปัญญา ก็คือ การเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้
ก็ไปคิดว่า ปัญญา เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ รู้อย่างนั้น อย่างนี้
แล้วสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ล่ะ? ปัญญา "รู้" หรือเปล่า?
แต่ถ้าเป็นความรู้จริงๆ ขณะนั้นก็ต้องเป็น ภาษาบาลีใช้คำว่า "ปัญญา"
แต่ภาษาไทย ธรรมดาที่สุด
ก็คือ
"เข้าใจถูก ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ"
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องนาน
ต้องอบรมด้วยความจริงใจ ด้วยความอดทน ด้วยความเชื่อมั่น ว่า
ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย
ต้องเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยไม่เลือกด้วย ว่าจะเป็นอะไร
ฟังมาอย่างนี้หรือเปล่าคะ?
ค่ะ ไม่เปลี่ยนแปลง
มีความมั่นคง ค่ะ
เพราะว่า ถึงจะที่กรุงเทพฯ หรือ ที่ไหนๆ ทุกคนที่ฟัง ก็เหมือนกันหมด
คือว่า ฟังแล้วก็รู้ว่า เราไม่รู้ แน่นอน
ไม่รู้เรื่องอะไร?
เราอาจจะรู้เรื่องอื่น
แต่ไม่รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ว่ามีจริงๆ
แต่ว่า ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่เรานี่ ยาก แสน ยาก
เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีอะไรพิสูจน์ ก็ยังคงเป็นเราอยู่ ใช่ไหม?
"เห็น" ก็เป็นเรา "คิด" ก็เป็นเรา
แต่ว่า ความเป็นจริง กว่าจะพิสูจน์ได้จริงๆ ว่า
เป็นเราได้อย่างไร?
แค่ปรากฏนิดเดียว แล้วหมดไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย
แค่ฟังแค่นี้ เรามีความเข้าใจมั่นคงแค่ไหน? ว่า เป็นอย่างนี้ จริงๆ
แต่ว่า สิ่งที่ปรากฏ ไม่ได้ปรากฏ อย่างที่พูด
ปรากฏ เหมือนไม่มีอะไรดับเลย ไม่มีอะไรเกิดเลย
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า
ความต่างกันของปัญญา
ของผู้ที่ ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย กับ ปัญญา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ต้องห่างไกลกันมาก
เพราะฉะนั้น เพียงแค่ได้ยิน ก็รู้ได้เลย
ว่า มีอีกมาก ที่เรายังไม่เคยรู้
คุณน้อย กราบท่านอาจารย์ค่ะ อยากเรียนท่านอาจารย์ว่า
ตั้งแต่เช้า ที่ดู ที่นั่งบนอัฒจรรย์ แล้วก็เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ได้ยินเรื่องราว ทางหู
ท่านอาจารย์คะ มันปิดบังหมดเลยค่ะ
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนะคะ เดี๋ยวค่ะ
เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เมื่อเช้านี้ ที่เรากำลังดู ผีตาโขน
คุณน้อย ค่ะ
ท่านอาจารย์ ปิดบังหรือเปล่า?
คุณน้อย ก็ปิดบังอยู่ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่เลือกค่ะ ไม่ว่าที่ไหน
เราเลือก ให้ปัญญาเกิด ไม่ได้
เลือก ให้ว่าความไม่รู้ ให้หายไปหมด ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ความที่ว่า
เราจะต้องอดทนสักแค่ไหน? ที่ไม่มีการ "ทำ" ด้วยความเป็นเรา โดยประการใดๆ ทั้งสิ้น
กว่าจะละคลาย ได้หมดจริงๆ
ก็ต้องเป็นผู้ที่ ตรง
เราจะไม่กล่าวถึง เมื่อเช้านี้
เมื่อวานนี้ ก็แบบนี้ ตั้งแต่ก่อนนี้ ก็เป็นแบบนี้
เดี๋ยวนี้ ก็เป็นอย่างนี้
คุณน้อย ค่ะ ก็คือ จะเรียนท่านอาจารย์ว่า แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้
ก็ปิดบังรูปที่แท้จริงไว้ค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่ว่า โลกที่แท้จริง เข้าใจแล้ว ใช่ไม๊คะ?
สิ่งที่กำลังปรากฏ ต้องเกิดขึ้น
ไม่เกิด ไม่มี
เพราะฉะนั้น แม้การเกิด ก็ไม่รู้ แม้การดับหมดไป ก็ไม่รู้
แต่ว่า ผู้รู้ ทรงแสดงความจริง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลย
ถ้าฟัง แล้วก็มีศรัทธา ที่จะรู้ว่า
เมื่อความจริง เป็นอย่างนี้
หนทางเดียว
คือ
ฟังต่อไปอีก ฟังต่อไปอีก
จนกระทั่ง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
คุณน้อย ท่านอาจารย์คะ ความมั่นคง ยากมาก
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ แต่ว่า เป็นความจริง
เพราะฉะนั้น เกิดมาแล้ว ต้องการความจริง หรือว่า ต้องการ อยากจะไปเป็นโน่น เป็นนี่
แต่ไม่รู้เลยว่า สิ่งที่กำลังปรากฏ ยังไม่ได้เข้าใจ
คุณน้อย ท่านอาจารย์ขา ตอนนี้ ก็ยังอยากรู้ความจริงค่ะ
คุณย่า ก็เป็นโลภะ สิคะ (หัวเราะ)
คุณน้อย แต่จริงๆ ความจริง ที่กำลังปรากฏ ที่ท่านอาจารย์สอนมา
เป็นเวลาสิบกว่าปี ที่ได้ฟัง ก็ยังยากมาก ที่จะ......
ท่านอาจารย์ เพราะมี "ตัวเรา" ไงคะ
มีตัวเรา แล้วก็ แหม....ตั้งยี่สิบปี
แต่ถ้าลืมหมด จะยี่สิบปี หรือว่า แสนกัปป์มาแล้ว
เราไม่ได้เกิดชาตินี้ ชาติเดียว
เพราะฉะนั้น จากก่อนๆ มานาน แสนนาน จนถึง ณ บัดนี้
ความเข้าใจ ก็น้อยมาก
ถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆ เราจะเพิ่มความติดข้อง
ฟังแล้ว อยาก....
ฟังแล้ว...อยาก...นี่มันสวนกระแส ที่เป็นความจริง
อยาก...เพราะ ไม่รู้
เห็นไม๊คะ?
ต้องเข้าใจว่า
เพราะไม่รู้ จึง อยาก....
พออยากปุ๊บ รู้เลยว่า นี่ลืมแล้ว ว่าเป็นธรรมะ
ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ ไม่มีอำนาจบังคับบัญชาด้วย
คุณน้อย ขอบพระคุณ ท่านอาจารย์ค่ะ ที่เตือนเสมอว่า
ขณะนี้ ถูกปิดบัง ด้วยความไม่รู้ และ ความอยาก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ไม่ต้อง "หวัง" อะไรเลย
ฟังธรรมะ เพื่อละ
อย่าลืม นะคะ
ไม่ใช่เพื่อได้ หรือว่า ไม่ใช่เพื่อหวัง
ฟัง เพราะรู้ว่า ยังไม่เข้าใจความจริง
เพราะฉะนั้น ฟัง เพื่อ ค่อยๆ เข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย
เพราะความจริงนี้ ไม่ใช่มีวันนี้ (แต่) มีทุกวัน
ตั้งแต่เกิด จนตาย ก็มีอย่างนี้ แล้วก็ได้ฟังอย่างนี้ด้วย
บางคนก็บอก สองปี บางคนก็บอก สิบปี
แต่ความเข้าใจจริงๆ
เป็นผู้ตรง ที่รู้ว่า
ยังไม่ถึง การที่จะ ละ ความต้องการ หรือ ละ ความเป็นตัวตน
ต้องอาศัยอย่างเดียว
คือ
ฟัง ให้เข้าใจขึ้น
คุณน้อย เพื่อมั่นคงขึ้นค่ะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เพื่อรู้ว่า เราไม่ดีแค่ไหน?
ไม่ดี แค่ ฟังเท่าไหร่ ก็ยังเป็นเรา ใช่ไม๊คะ?
ยังยาก แสนยาก ที่จะละความเป็นเราได้
และ ถ้าไม่มีการเข้าใจ ลักษณะ ของสภาพธรรมะ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้
ไม่มีทาง
เพราะเหตุว่า ก็ยังคงไม่รู้ไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น หนทางเดียว ที่จะ ละ ความเป็นเรา ก็คือ
เข้าใจสิ่งที่มี
แค่นี้เอง
แต่ว่า ต้องเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ
"รู้" เมื่อไหร่ ค่อยๆ ละ ไป
ทีละเล็ก ทีละน้อย
แต่ ทางอื่น ไม่มี
คุณณรงค์ กราบท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพอย่างสูง
ศึกษาธรรมะ อย่างชมรมก็บอกว่า ทำดีและศึกษาพระธรรม ตรงทำดี ดูเหมือนง่าย
ที่มูลนิธิฯ ท่านอาจารย์จะพูดบ่อย ว่าจิตเรา มันเน่าขนาดไหน?
วันนี้ อยากให้ท่านอาจารย์ ได้พูด ให้กระผมและสหายธรรมได้ฟังอีกครั้ง
ตอนที่ขึ้นเครื่องบินมา ท่านอาจารย์บอกที่สนามบินว่า
พวกเรา หวังที่จะไปรู้สภาพธรรมะ แต่ว่า พื้นจิตที่ดี จากการทำดี มีบ้างหรือยัง?
ท่านอาจารย์ ค่ะ ตอนนี้ รู้จักจิตของตนเองหรือเปล่าคะ?
รู้สึกว่า รู้จักจิตของคนอื่น ง่ายแสนง่าย
พอใครพูดอะไร ก็ เขาเป็นอย่างนั้น เขาไม่ถูกอย่างนี้ เขาไม่ดีอย่างโน้น
จิตของคนอื่นทั้งนั้นเลย
แต่จิตของตัวเอง ขณะที่กำลังคิดอย่างนั้น เป็นอะไร?
ไม่เคยรู้เลย
เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริง
พระธรรม ทรงแสดงความจริง ให้กับทุกคน ได้เข้าใจถูกต้อง
ใน "โลก" ของตัวเอง
เพราะว่า จริงๆ แล้ว ขณะนี้ มี "โลกภายนอก" ปรากฏเป็นต้นไม้ เป็นเก้าอี้
เป็นโน่น เป็นนี่ สารพัดอย่าง
โลกภายนอก ทั้งนั้นเลย
แต่ถ้า ไม่มีจิต ซึ่งเป็น "โลกภายใน" โลกภายนอก ปรากฏไม่ได้เลย ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้น ลืม ว่าโลกภายใน ไม่ใช่โลกภายนอก เลย
โลกภายใน คือ คิด
เพราะฉะนั้น โลกภายนอก ก็ปรากฏ เป็นต้นไม้ คิด รูปร่างสัณฐาน
โลกภายใน ก็คือว่า กำลังมีสิ่งที่ปรากฏ ให้จำได้ ให้คิด
ก็ปรากฏ เป็นเรื่อง เป็นราว ต่างๆ
ถ้าไม่มีโลกภายใน โลกภายนอกไม่มี
ที่โลกภายในมี มาจากไหน?
โลกภายใน คือ จิต ผลิต โลกภายนอก
ถ้าไม่มีจิตเสียอย่างเดียว โลกภายนอกใดๆ ไม่มีเลย
จะไปผลิต ให้เป็นอาหารจานต่างๆ จะให้ผลิต เป็น ผีตาโขน รูปร่างต่างๆ ก็ไม่ได้
แต่เพราะจิต โลกภายใน ทั้งคิด ทั้งจำ ทั้งทำ สารพัด
กาย วาจา
เคลื่อนไหวไป
เดี๋ยวเต้น เดี๋ยวใส่หัว เดี๋ยวถอดหัว
อะไรก็แล้วแต่
นั่นก็เพราะเหตุว่า
มีโลกภายใน คือ มีจิต
เพราะฉะนั้น เรารู้จักแค่โลกภายนอก มาแสนนาน
แต่ไม่เคยรู้เลยว่า
โลกอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกภายใน
ซึ่งไม่มีผีตาโขน ถ้าไม่คิด
แต่ว่า มีสิ่งที่ปรากฏทางตา และ สิ่งที่ปรากฏทางตา หลากหลาย ก็จำได้
ในขบวนแห่ ที่เป็นผีตาโขนก็มี ที่ไม่ใช่ผีตาโขนก็มี
ดูสิคะ!!
เพียงแค่ สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ทำให้มีเรื่องราวต่างๆ
เพราะฉะนั้น จิต แต่ละขณะ เป็นโลกภายใน
แต่ไม่รู้จักเลย
รู้จักแต่โลกภายนอก
อย่างผีตาโขนมานี่ เดินมานี่
ไม่รู้เลย ว่าโลกภายใน คือ "คิด" แค่นั้น
แค่มี สิ่งที่ปรากฏทางตา ให้เห็น
แล้วก็ "คิด"
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่คิด ไม่มีผีตาโขน
หรือว่า ไม่มีคนเลย สักคนเดียว ในห้องนี้
แต่มีสิ่งที่ ขณะที่ลืมตา ก็มีสิ่งที่ปรากฏ ว่ามีจริงๆ
แต่ถ้าไม่คิด ก็ไม่มีอะไร ที่จะเป็นคน เป็นสัตว์
นี่ค่ะ ก็ลึกซึ้งมาก
คือ ฟังไปชาตินี้ จะเข้าใจเท่าไหร่ ก็คือว่า ไม่เปลี่ยนแปลง
ความจริง ก็คือ ความจริง อย่างนี้
จนกว่าจะไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ
แต่ว่า "เรา" เคยมีมานาน
ที่จะให้รู้ว่า เป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่เรา
ได้ยิน เกิดแล้ว ได้ยินแล้ว ดับแล้ว ไม่กลับมาอีก
"ได้ยิน" แต่ละคำ ก็คือ "คิด" ตามเสียง สูงๆ ต่ำๆ
เป็นเรื่องเป็นราว เป็นคำ มีความหมายต่างๆ แต่ละคำ แล้วก็ดับไป
เดี๋ยวนี้ มีไหม?
สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่มีเหลือ
แต่ว่า มีสิ่งใหม่ เกิด อยู่ตลอดเวลา
นี่คือ การที่ต้องฟัง จนกระทั่งเข้าใจว่า
แม้แต่การเกิด การดับไป และ มีการเกิดต่ออีก ก็เป็นสิ่งซึ่ง เป็นอย่างนั้น จริงๆ
แต่ก็ ยากแสนยาก ที่จะรู้
"รู้" เมื่อไหร่ ก็รู้ว่า "ไม่มีเรา"
แต่ว่าธรรมะ เป็นอย่างนั้น
จิต เกิด เห็น แล้วก็ ดับ
จิต เกิด ได้ยิน แล้วก็ ดับ
จิต เกิด คิด แล้วก็ ดับ
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมะ ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ อยู่เรื่อยๆ
จนถึง ขณะสุดท้ายของโลกนี้ ที่จากไป
เมื่อนั้น ไม่เหลือแน่
แต่เวลานี้ ทุกขณะนี้ ก็ไม่เหลืออยู่แล้ว
แต่รู้ยาก
จะไปรู้ตอนที่ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ก็เข้าใจว่าไม่เหลือ
แต่ความจริง เวลานี้ก็ไม่เหลือ ทุกขณะ
คุณณรงค์ ท่านอาจารย์ครับ คือ ต้องรู้ว่า ไม่มีเรา
แต่ว่า ชีวิตประจำวันนี่ จากการที่ศึกษาและสังเกตุ ก็คิดว่า เป็นจริงตามนั้น
ก็คือ ทั้งวัน มีแต่ความติดข้อง มีโลภะ
อยากไปดู ผีตาโขน
อยากทานอาหาร เดี๋ยวเย็นนี้จะเป็นอะไร? อะไรอย่างนี้
อยากเห็นโน่น เห็นนี่ ทั้งวัน หรือ แม้แต่กลับกรุงเทพฯ อะไรต่างๆ ก็เป็นเพื่อนสอง
โลภะ จริงๆ ก็คือ ตัวเรา เป็นเราด้วยโลภะ
พอเข้าใจธรรมะแล้ว ตรงนี้ เขาก็จะทำหน้าที่รู้ และ โลภะ น้อยลง
ด้วยความเข้าใจธรรมะ หรือ อย่างไรครับท่านอาจารย์?
ท่านอาจารย์ ค่ะ ขณะนี้เป็น "เรา" ที่ "คิด"
เห็นไม๊คะ?
ไม่ได้เป็น ธรรมะ เลย
เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว มีประโยคสั้นๆ ประโยคหนึ่ง แต่ต้องเข้าใจจริงๆ
ขณะนี้ แต่ละหนึ่งคน ทำอะไร?
เห็นไม๊คะ? ไม่ได้กลับไปหาคนอื่นอีกแล้ว
เอาตัวเองก็ได้ หรือว่า ขณะที่คิดว่า ขณะนี้ แต่ละคน ทำอะไร? รวมทั้งตัวเองด้วย
ถ้ามีร่างกาย มีจิตใจ
จะให้เฉยๆ เป็นไปไม่ได้
ที่บางคนเข้าใจว่า พอเข้าใจธรรมะแล้ว ไม่ได้ทำอะไร ทำอะไรอีกไม่ได้เลย
เป็นไปได้อย่างไร?
ก็เขาไม่ได้เข้าใจว่า
"เห็น" ก็เป็นธรรมะ
ถึงแม้ว่า เข้าใจแล้ว ก็ยังต้อง "เห็น" ต่อไป
ยังต้อง "คิด" ต่อไป
ยังต้อง "จำ" ต่อไป
ยังเหมือนเดิม
แต่ว่า เวลานี้ "แต่ละหนึ่ง" นี่ ต่างกัน
จะนั่ง หรือ จะพูด หรือ จะหันหลัง หรือ จะทำอะไรก็ตามแต่
ให้ทราบว่า
"ประพฤติ ตามที่เป็นไป"
เห็นไม๊คะ? แค่นี้ ก็ฝืนไม่ได้เลย
กลับมาหาตัวเอง ว่า ไม่ว่าจะเหลียวหลัง ไม่ว่าจะยกมือ ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งหมด
ความประพฤตินั้น ย่อมเป็นไป คือ ตามที่ได้สะสมมา
ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็ หยุดหวัง เลย ใช่ไม๊คะ?
ไม่ต้องไปหวังอะไร?
เพราะว่า แม้เดี๋ยวนี้เอง ก็ยังประพฤติ ตามที่เป็นไป
คือ ตามที่สะสม ตามที่ ต้องเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคำนึงถึง ขณะต่อไป
เพราะว่า มีแน่นอน ไม่หายไปไหน ยังไงๆ ก็ต้องมี
คุณณรงค์ ประพฤติตามที่สะสม ตามที่เป็นไป?
ท่านอาจารย์ เนี่ยๆ คุณณรงค์ กำลังยกนิ้วขึ้นมาเนี่ย เห็นไม๊คะ?
ถ้าเป็นคุณณรงค์ ก็รู้สึกว่า มีความอยากจะทำอย่างนี้
แต่พอระลึกได้
ที่ทำอย่างนั้น เพราะ ประพฤติ ตามที่เป็นไป คือ สะสมมา
ก็จะค่อยๆ คลาย ความเป็นเรา
คุณณรงค์ ค่อยๆ คลายความเป็นเรา ด้วยความที่เข้าใจธรรมะ
ท่านอาจารย์ เข้าใจถูกค่ะ เข้าใจถูก ว่าทุกอย่าง ไม่มีใครทำ
ทำไม่ได้
เกิดแล้ว ตามที่เป็นไป เพราะ ตามที่สะสม
แต่ละคน จะยกมือ ก็ไม่เหมือนกัน ไม่ได้พร้อมกันด้วย ใช่ไม๊คะ?
เนี่ย เวลานี้ คนที่ยกมือก็มี ไม่ยกมือก็มี
แต่ว่า ไม่ใช่ว่าพร้อมกัน
แล้วแต่ว่า สะสมมา กำลังประพฤติอยู่
นี่แหละ ตามที่เป็นไป
ไม่มีการที่ใคร จะไปบังคับใคร หรือใคร จะไปทำให้เกิดขึ้นได้
คุณณรงค์ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวตอนต้นว่า คุณไพโรจน์ กับ คุณทองแถม
ยากนะ ที่จะมาฟัง อันนี้ ก็ตามที่เป็นไป เหมือนกัน
คุณย่า คุณต้องสะสมมา ตั้งแต่ในอดีตชาติ ที่ฟังธรรมะ ไม่อย่างนั้น ก็ไม่ได้จะมาฟัง
เมื่อเช้านี้ คุณย่าไปที่งานผีตาโขน
เขาก็เห็นคุณย่าคนแก่ เขาก็มาสัมภาษณ์
(TV เวียตนาม) เขาบอกว่า สนใจยังไงมา? คุณย่าก็บอก คุณย่ามากับท่านอาจารย์
มีคนที่นี่ เขียนจดหมายไปถึงท่านอาจารย์ บอกฟังธรรมะท่านอาจารย์แล้ว สนใจมาก
อยากไปพบท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์บอกคุณย่าว่า เนี่ย คุณอยากพบ
อาจารย์ก็ต้องมาให้พบ มาให้ธรรมะกับคุณ
คุณย่าก็เลย โอ้โฮ....
เขาเป็นวิทยุ (ทีวี เวียตนาม) พอรู้ว่าเขาเป็นเวียตนาม ที่เขาคุยกับคุณย่าเขาให้คนไทยแปล
พอรู้ว่าเป็นเวียตนาม คุณย่าบอก โอ...เวียตนาม เขาเรียนธรรมะ
แล้วอาจารย์ก็ชมว่า เขาเก่งมาก และ อาจารย์ไปมาตั้งหลายหน นี่เขาก็เชิญมาอีก
จะให้อาจารย์ไป เขาก็เลย มาสัมภาษณ์ เขาเห็นคุณย่าคนแก่ อุตส่าห์มาดู
คุณย่าสาวน้อย ๙๗ แล้วหนู (หัวเราะ)
ขอฉันคุยหน่อย ไม่ใช่เรื่องธรรมะ (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ เห็นไม๊คะ?
ประพฤติ ตามที่เป็นไป
แม้แต่จะมา แม้แต่การที่จะพบ แม้แต่การขยับ เคลื่อนไหว ทุกอย่าง
ประพฤติ ตามที่เป็นไป
แสดงว่า ไม่มีใคร สามารถที่จะเป็นตัวตน
แต่สะสมมา ที่จะพูด สะสมมาที่จะคิด สะสมมาที่จะเคลื่อนไหว อย่างไร
ก็ ประพฤติ ตามที่เป็นไป
ไม่ต้องไปถึงข้างหน้า
เดี๋ยวนี้เอง!!!
ธรรมะ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก ยากมาก
เพราะเหตุว่า เป็นการตรัสรู้ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพียงแค่นี้ ก็รู้แล้ว
ไม่มีทางถึง โดยไม่ศึกษา โดยไม่เคารพ
ที่จะเข้าใจจริงๆ
โดยไม่ไปเปลี่ยน ว่า เราไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้ ด้วยความต้องการ
แต่สามารถที่จะต่างกับผู้ที่ไม่ได้สะสมมา หรือว่า อย่างสัตว์เดรัจฉาน
งูก็มี นกก็มี ได้ยินทั้งนั้นเลย
คนอื่นก็มี ได้ยินด้วย
แต่ว่า ได้ยินแล้ว จะสนใจ ที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังได้ยิน อีกเรื่องหนึ่ง
เพราะฉะนั้น มงคล นะคะ ธรรมะ ที่นำไปสู่ความเจริญ
ตั้งแต่ ความไม่รู้อะไร จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ ทรงแสดงว่า มีมงคล ๓๘
ก็จะมีข้อที่ว่า เกิดในประเทศที่สมควร เป็นมนุษย์ สามารถที่จะเข้าใจเสียงต่างๆ
และ ถ้าไม่ได้สะสมมา แม้ว่าเสียงธรรมะมี ก็ไม่ฟัง
ไปขอร้อง ไปบอกว่า ดีอย่างไร ฟังเถอะ ก็ไม่ฟัง
ทั้งๆ ที่ เสียง ก็มี ก็ไม่ฟัง
เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเกิดในประเทศที่สมควร มีธรรมะ มีเสียง ซึ่งพูดถึงคำว่า "ธรรมะ"
มีเสียง ซึ่งพูดถึงคำว่า "อนัตตา"
แต่ว่า ถ้าไม่มีใครใส่ใจ ไม่มีการสนใจ
ก็ไม่ฟัง
แม้แต่ว่า ธรรมะ ก็ไม่ต้องการรู้ อนัตตา ก็ไม่ต้องการรู้
เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะเกิดในประเทศที่สมควร เป็นมนุษย์แล้ว มีโอกาสได้ฟังธรรมะแล้ว
ก็ต้อง เป็นบุญ ที่ได้กระทำไว้ แต่ปางก่อน ของแต่ละคน
เสียงธรรมะ มีทั่วไป
แต่ว่า ใครจะมีความสนใจ
เห็นประโยชน์ ว่า ฟังแล้ว เข้าใจสิ่งที่มี ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย
และ สิ่งนั้น ก็มีอยู่ตลอดเวลา
แม้เดี๋ยวนี้ ก็กำลังมี
ลองคิดดูสิคะ จะไปหาเสียง ที่จะทำให้เข้าใจ ในสิ่งที่ แม้ขณะนี้ก็มีจริงๆ
แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีได้ด้วย
ก็ต้องเพราะ ศรัทธา ที่ได้สะสมมาแต่ปางก่อน
แม้สองข้อนี้ ก็ยังไม่พอ
ได้เกิด ในประเทศที่สมควร แล้วก็มีบุญ ที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน
ยังต้อง ตั้งจิตไว้ชอบ
ตั้งจิตไว้ชอบ
ไม่ใช่เราตั้ง
แต่ว่า ตั้งจิตไว้ชอบ คือ เข้าใจธรรมะ ว่าเป็นธรรมะ แล้วก็เป็นอนัตตา
แต่ถ้าใคร "อยาก" เมื่อไหร่ ลืมอีกแล้ว
ขณะนั้น ไม่ได้ตั้งจิตไว้ชอบเลย เพราะเหตุว่า "อยาก"
แต่ถ้าตั้งจิตไว้ชอบ ไม่ใช่เรา สภาพธรรมะ นั่นเอง
เพราะเหตุว่า เคยฟัง เคยรู้ ว่า ปัญญา หรือ ความเห็นถูก
อาศัยการฟัง และ ไตร่ตรอง แล้วก็การพิจารณา และ การรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง
ก็ไม่ละเลย การที่จะได้เข้าใจความจริง
นั่นคือ ตั้งจิตไว้ชอบ โดยไม่ใช่เราตั้ง
แต่บุญที่ได้ทำไว้ และ ที่ได้ฟัง ก็รู้ว่า ฟัง เพื่อเข้าใจ มิฉะนั้น ใครจะละโลภะได้
เดี๋ยวก็ อยาก เดี๋ยวก็ อยาก
ไม่อยากเรื่องนี้ ก็อยากเรื่องนั้น
ไม่อยากเรื่องอื่น ก็มาอยากเรื่องเข้าใจธรรมะ หรือว่า อยากรู้แจ้ง อริยสัจจธรรม
แสดงว่า ความอยาก สะสมมา
จนกระทั่งว่า ไม่มีสักขณะเดียว ซึ่งกล่าวได้ว่า ไม่อยาก
"เห็น" นี่นะคะ อยากแล้ว แต่ไม่รู้
ละเอียดมาก เร็วมาก
ทรงแสดง "ความอยาก" หลายระดับ
แม้แต่ขณะที่เพียงเห็น แล้วอยาก ต้องบอก ถึงจะรู้ว่า
เพราะไม่รู้ความจริง ว่าเห็น ไม่ใช่อะไรเลย เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป
แค่เห็น นิดเดียว แล้วก็ดับ
แต่ว่า เมื่อไม่รู้ความจริง ก็พอใจ ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
แล้วก็ยังอยากเห็น "อื่น" จากสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นอีก
เพราะฉะนั้น ความอยาก เป็นไปทาง ตา คือ "อยากเห็น"
มีใครไม่อยากเห็นบ้าง ไม่มี ใช่ไหม?
ความอยาก เป็นไปในทาง หู มีใครไม่อยากได้ยินบ้าง?
ความอยาก เป็นไปทาง จมูก อยากได้กลิ่น
ความอยาก เป็นไปทาง ลิ้น นี่ชัดเจน
ความอยาก เป็นไปทาง กาย
ความอยาก เป็นไปทาง ใจ จำหมดเลย ว่าอะไรปรากฏ
แล้วยังคิดต่อ เป็นเรื่อง เป็นราว ต่างๆ
เพราะฉะนั้น ก็ยากมาก ที่จะละ "ความอยาก" ได้
ทางเดียว คือ เข้าใจ สิ่งที่กำลังฟัง โดยไม่ใช่มีตัวตนไปอยาก
แต่ว่า ขณะนี้ มีเสียง แล้วก็มีการได้ยิน "คำ"
ซึ่งกล่าวถึง สิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ขณะที่ตั้งจิตไว้ชอบ คือ เห็นประโยชน์ และ มีศรัทธา
สภาพจิต ที่ผ่องใส ที่จะฟัง ด้วยความเข้าใจ ว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เมื่อมีสิ่งที่ถูกต้อง ให้เข้าใจ แต่ว่า ความเข้าใจยังน้อยมาก
ก็ฟังต่อไป เพื่อเข้าใจขึ้น
เท่านี้เอง
ไม่มีเรา
แต่สภาพที่ "เข้าใจ" มีจริง
ภาษาบาลี ใช้คำว่า "ปัญญา"
เพราะฉะนั้น เวลากล่าวถึงปัญญา ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่นเลย
แต่สามารถเข้าใจถูกต้อง ว่าสิ่งที่ปรากฏ ปรากฏจริงๆ นิดเดียว แล้วก็หมดไป
แต่ว่า สืบต่อกัน จนกระทั่ง คิดต่อ เป็นเรื่อง เป็นราว ต่างๆ
แต่ตามความจริงก็คือว่า
เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น
คุณน้อย กราบท่านอาจารย์ค่ะ แต่ความจริง เป็นสิ่งที่รู้ยาก
ตรงที่ว่า ฟัง เพื่อเข้าใจ
ท่านอาจารย์ แต่รู้ยาก มีจริงนี่คะ สิ่งที่มีจริง
ถ้ารู้ยาก แต่ไม่มีสิคะ ไม่มีทางจะรู้ เพราะ ไม่มี
แต่สิ่งที่มีจริง รู้ยาก แต่กำลังมี
อย่างแข็ง เห็น ได้ยิน กำลังมีจริงๆ รู้ยาก แต่ว่ามีจริงๆ
ไม่ใช่อยากรู้ แต่ไม่มีให้รู้
คุณน้อย แต่ละวัน การสะสมความเข้าใจ กับ การสะสมความต้องการ
รู้สึกว่าความต้องการ มันนำหน้าเสมอ ในความเข้าใจ ทีละนิด ที่ฟัง
อย่างเช่น เวลาที่ฟัง เรื่องที่จะพิจารณาตาม ในเห็น หรือ ได้ยิน
แต่ก็ยังเป็นเห็น ที่เราเห็น ยังไม่รู้จัก "เห็น" จริงๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องการอะไร?
คุณน้อย ก็ยังต้องการเข้าใจ "เห็น" ค่ะ (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ ไม่ต้อง ต้องการเลย
ยังไม่เห็น ก็ฟังจนกระทั่งเข้าใจขึ้น เท่านั้นเอง
และ รู้ว่า ไม่ได้เข้าใจได้เร็วด้วย
นาน............กว่าจะเข้าใจ...
คุณน้อย เพราะฉะนั้น แต่ละวัน ก็จะถูกโลภะกินเรียบ อยู่ตลอด
ท่านอาจารย์ แต่ละวัน ฟัง แล้วก็ เข้าใจ เท่านั้น
คุณน้อย เข้าใจแค่ไหน ก็คือ แค่นั้น
ท่านอาจารย์ ค่ะ จบ
คุณน้อย ก็คือ เท่าที่เราเข้าใจได้
ท่านอาจารย์ เมื่อกี้ เราไป สนุกมากเลย ผีตาโขน แต่ละตัว โอ...ก็ตื่นเต้น
ผีเด็ก ก็มี ผึหมูป่า ก็มี ผีพ่อลูกอ่อน แม่ลูกอ่อน อะไรก็ (หัวเราะ) มีทั้งนั้นเลย ใช่ไม๊คะ?
ขณะนั้น ไม่ต้องสนใจ เพราะว่า หมดแล้ว
แต่ถ้าสะสมปัญญามา ขณะนั้น อะไรปรากฏ ชั่วขณะนั้น เขาสามารถที่จะเกิดได้
ไม่ต้องไปพยายามรู้ สิ่งที่หมดแล้ว
แต่ว่า ขณะนี้ แม้เดี๋ยวนี้
ถ้าได้สะสมความเห็นถูก
ความเข้าใจถูก เกิด โดยไม่เลือกว่าอะไร
คุณน้อย ท่านอาจารย์กำลังจะเตือนว่า สิ่งที่หมดไปแล้ว ก็คือ หมดไปแล้ว
แต่ ขณะนี้ กำลังปรากฏอยู่
ท่านอาจารย์ แสดงถึง ความมั่นคงของ ปัญญา ที่มีกำลัง
ถึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า หมดแล้ว ไปกังวลทำไม?
พอกังวล ก็นั่นแหละ ตัวตน ซึ่งแน่นหนามาก
แต่ความเบาบาง ไม่หนาแน่น ก็คือว่า ไม่หวั่นไหวเลย
หมดแล้ว ก็คือ หมด
แสดงว่า ปัญญา เพิ่มขึ้น
เพราะฉะนั้น กว่าปัญญาจะถึงระดับนั้นได้
เราก็ต้องรู้ว่า มาจาก เข้าใจขึ้น
ทีละเล็ก ทีละน้อย
หนทางอื่น ไม่มี
แล้วก็ไม่ต้องไปพยายาม
ถ้าพยายาม ไม่หลงลืม คือ เรา
ธรรมะ ละเอียด จนกระทั่งว่า
ปัญญา สามารถที่จะเข้าใจ ว่าขณะไหน เกิดมีเครื่องติดข้อง กั้นแล้ว
ตัวขณะที่กำลังมีตัวตน ที่กำลังพยายามจะไม่หลงลืม ก็กั้น
ต้องละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น
จนกระทั่ง สามารถรู้ได้จริงๆ ว่า
ยังเหลือ ความต้องการอะไรบ้างหรือเปล่า?
ไม่มีทาง ที่จะได้ไปดับ ความมีตัวตน หรือ ความต้องการที่เป็นเราหมดได้
นอกจาก ความจริงเป็นอย่างไร ก็รู้
ค่อยๆ รู้ไป อดทนไป
บารมี ทั้ง ๑๐ คือ เพื่อเข้าใจถูก เท่านั้น อย่างเดียว
เพราะฉะนั้น เป็นปรกติ จริงๆ
แล้วก็จะเห็น ตวามประพฤติแต่ละวันว่า
ย่อมเป็นไป ตามที่เป็น
เป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่ละคน
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิต และ กุศลศรัทธา ของ คุณไพโรจน์ คุณทองแถม ชัชวาลย์
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิต ของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในุศลศรัทธาของทุกๆ ท่านที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คุณทองแถม ชัชวาลย์ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ หมายเลข 824
ผู้มีศรัทธา เดินทางมาส่งท่านอาจารย์สุจินต์ ที่สนามบิน จ.เลย
-----------------------------------------
ดอกไม้สวนลุงวุฒิ จ.เลย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในุศลศรัทธาของทุกๆ ท่านที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนา เป็นอย่างยิ่ง นะคะ กับ ทุกๆ ท่าน ผู้คลุกคลีกับธัมมะ ใน ทุกที่ ทุกขณะ ทุกเวลา ทุกสถานการณ์
"เหลือเพียงความทรงจำ...ก็ควรรู้ว่า แม้ความทรงจำนั้น เกิดดับไปแล้ว...
ในขณะนี้จึงมีเพียง..."คิด"..."
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และ ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณวันชัย ภู่งาม ที่รวบรวมธรรม
ที่แม้เคยได้ยินได้ฟังมา...
เมื่อฟังซ้ำก็เหมือนฟังใหม่...มีโอกาสได้สะสมความเข้าใจต่อๆ ไปค่ะ...