ประมวลสาระธรรม สนทนาธรรมที่เชียงใหม่ ๑๖ - ๑๗ ก.ค. ๒๕๕๖

 
khampan.a
วันที่  17 ก.ค. 2556
หมายเลข  23199
อ่าน  2,000

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

(ภาพนี้ผลงานการถ่ายของพี่วันชัย ภู่งาม ที่ อ. ด่านซ้าย จ. เลย)

วันอังคารที่ ๑๖ และวันพุธที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และคณะวิทยากร

ได้เดินทางไปสนทนาธรรมที่ จ. เชียงใหม่

โดยวันแรกสนทนาที่ "นฤตย รีสอร์ทแอนด์สปา" ตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง ส่วนวันที่สอง สนทนาที่โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง สำหรับการสนทนาธรรมที่ จ. เชียงใหม่ นั้น จัดขึ้นปีละ ๒ ครั้ง ระหว่างต้นปี กับกลางปี ทางชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จ. เชียงใหม่ได้ร่วมใจกันเจริญกุศลจัดการสนทนาธรรมเป็นประจำทุกปี เพื่อประโยชน์ คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งเป็นขณะที่มีค่าอย่างยิ่งในชีวิต เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้สะสม เหตุที่ดีมา มีศรัทธาเห็นประโยชน์ของพระธรรม ได้ฟังได้สะสมความเข้าใจถูกเห็น ถูกต่อไป พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แพร่หลายยิ่งขึ้น และการเดิน ทางไปเชียงใหม่ครั้งนี้ คณะอาสาสมัครฝ่ายบันทึกภาพวีดีโอการสนทนาธรรมและ คณะวิทยากร ได้เดินทางโดยรถตู้ซึ่งสนับสนุนโดยบริษัทมนตรีทรานสปอร์ต โดยมี คุณนภา คุณสุภัทรา คุณลุงสุวิทย์ - คุณป้าสุมิตรา (ปิ่นทองคำ) อ.นวลอนงค์ น้าจำลอง และน้าสาย เจริญกุศลในด้านอาหารช่วงระหว่างเดินทาง ก็ขออนุโมทนา ในกุศลของทุกๆ ท่านด้วย อนึ่ง สำหรับการสนทนาธรรมวันแรกที่ นฤตย รีสอร์ท นี้ มีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมาพักที่รีสอร์ทแห่งนี้ สนใจศึกษาพระธรรม ท่านอาจารย์ก็ได้เกื้อกูลชาวต่างชาติ ด้วยการสนทนาธรรมภาคภาษาอังกฤษ ต่ออีก ๑ ชั่วโมงครึ่ง นับว่าเป็น โอกาสที่มีค่าหาได้ยากเป็นอย่างยิ่งในสังสารวัฏฏ์

การสนทนาธรรมในครั้งนี้ ข้าพเจ้าก็ได้ร่วมฟังและสนทนาด้วย จึงขออนุญาต ประมวลสาระสำคัญของพระธรรม ตลอดการสนทนาทั้งสองวัน มาฝากผู้ศึกษา พระธรรมร่วมกันทุกท่าน ได้พิจารณาไตร่ตรอง ร่วมกัน เท่าที่จะประมวลได้ ตามกำลังของตนเอง ดังต่อไปนี้

@ สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่รู้ จึงหลงผิดยึดถือว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

@ โลกของอวิชชา ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่โลกของปัญญา รู้ถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง

@ ทุกขณะเป็นธรรมทั้งหมด ปฏิเสธไม่ได้เลย

@ ถ้าคิดว่า กิเลส น้อย นั่น ประมาทแล้ว

@ ขณะที่เข้าใจถูกเห็นถูก จะไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ มีแต่สภาพธรรมฝ่ายดี มีศรัทธา เป็นต้น รวมถึงปัญญาด้วย

@ ข้อความในพระไตรปิฎก แสดงถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ทั้งหมด

@ ชีวิตก็เพียง ๑ ขณะ จะไม่มี ๒ - ๓ ขณะพร้อมกัน

@ พระอรหันต์ ไม่มีแม้แต่ละอองของกิเลสซึ่งเล็กน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นกิเลสประเภทใดๆ ก็ตาม ไม่มีเกิดขึ้นอีกเลย

@ หวังไปต่างๆ นานา ก็เพราะความไม่รู้

@ สะสมความไม่รู้มามาก เพราะฉะนั้น จึงขาดการฟังพระธรรมไม่ได้

@ ความติดข้อง มีจริง ไม่ใช่เรา

@ คำสอนทั้งหมด ประมวลลงที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน มีแต่ธรรม เท่านั้นจริงๆ

@ เห็น เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เห็น แล้วก็ดับไป

@ เกิดมาแล้วตายไป ไม่เปล่าประโยชน์แน่ ถ้าได้เข้าใจพระธรรม

@ สิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่ง คือ ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ

@ อีกไม่นานก็จะต้องละจากโลกนี้ไป ดีชั่วที่สะสมไว้เท่านั้นที่จะติดตามไป

@ จากที่ชั่ว แล้วเป็นดีได้ ใครที่จะทำให้เป็นอย่างนี้ได้ ... ความเข้าใจพระธรรม

@ กี่ชาติมาแล้ว ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม

@ ไม่มีใครได้ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น

@ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงกับคนที่ไม่รู้ เพื่อจะได้รู้ขึ้น

@ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย และไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ถาวรเลย เพราะเกิดแล้วก็ต้องดับไป จึงไม่มีสิ่งใดที่ควรแก่การติดข้องยินดีพอใจ

@ เพราะรู้ว่าไม่รู้ จึงมีการฟังพระธรรมให้เข้าใจ

@ ศรัทธา เป็นศรัทธา ไม่ใช่จิต

@ ทุกคนเกิดมาแล้ว ต้องละจากโลกนี้ไปแน่ แล้วเมื่อไหร่ แล้วไปไหน ก็ต้องตาม เหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

@ ทำอกุศลกรรมมาเยอะแยะแล้ว แค่ปล่อยนกจะพ้นหรือ?

@ กล่าวได้ว่า ทั่วโลกมีการปฏิบัติ แต่เข้าใจจริงๆ หรือไม่ว่า ปฏิบัติคืออะไร

@ ปฏิบัติ ไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ด้วยสติและปัญญา

@ ถ้าไม่สนใจฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย

@ ทุกชาติเป็นอย่างนี้ คือ มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป แล้วจะรู้หรือไม่รู้ ก็ตามการสะสมของแต่ละบุคคล

@ ทรัพย์สมบัติติดตามคนตายไปไม่ได้ อย่าว่าแต่หนึ่งบาทเลย แม้แต่หนึ่งสลึงก็ ติดตามไปไม่ได้

@ ถ้ามีความเข้าใจถูกเห็นถูกแล้ว จะไปทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้หรือไม่?



@ รูป ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็นำเอารูปร่างกายไปด้วยไม่ได้

@ เพราะยังเต็มไปด้วยความไม่รู้ ความไม่ดีประการต่างๆ จึงเกิดขึ้นมากมาย เพราะมีความเข้าใจถูกเห็นถูก ความดีประการต่างๆ ก็ตามมาอีกมากมายเหมือนกัน



@ เราหลงอยู่ในสังสารวัฏฏ์มานานแสนนานแล้ว แม้จะมีธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ก็ไม่รู้ ความเป็นจริงของธรรม

@ เหตุไม่ดี ไม่สามารถทำให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นได้เลย และ เหตุที่ดี ไม่สามารถทำให้ สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นได้เลย

@ ชีวิตของแต่ละคน ก็ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม

@ ปฏิบัติคลาดเคลื่อนจากความเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรม นี้แหละ คือ สีลัพพตปรามาส

@ เพียงไม่มีจิต รูปร่างกาย ก็ทำอะไรไม่ได้ เคลื่อนไหวไปไม่ได้เลย

@ เมื่อมีโอกาสได้พบปะกัน ประโยชน์คือ อะไร? มีโอกาสได้เกื้อกูลกันและกัน ให้ได้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรม

@ ทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้ เกิดแล้วก็ดับไป เมื่อเกิดแล้ว ดับไป จะเป็นของใครได้

@ อริยทรัพย์ ใครๆ ก็แย่งชิงไปไม่ได้ เพราะสะสมอยู่ในจิต

@ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก จึงหน่าย คลายจากความติดข้อง

@ สวดมนต์ กับ เข้าใจธรรมอย่างไหนจะดีกว่ากัน มีคนชวนไปสวดมนต์ กับ ชวนไปฟังธรรม จะไปกับใคร พุทธประสงค์จริงๆ คือ ให้พุทธบริษัทได้เข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่อย่างอื่น

@ ถ้าไม่คิด แผนก็ไม่มี คิด เกิดเมื่อไหร่ก็มีเรื่องที่คิด และปัญญา สามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ว่า คิด เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

@ นอบน้อมจริงๆ ด้วยกาย วาจา ใจ จึงเป็นกุศล

@ ขณะที่ไม่เข้าใจความจริง ขณะนั้นก็โปรยธุลีคือกิเลส ลงในจิต หนทางที่จะทำให้ ธุลีคือกิเลสน้อยลง คือ ได้เข้าใจธรรม

@ จะไม่ละเลยโอกาสของการทำดี แม้เพียงเล็กน้อย ถ้าเห็นคุณของความดี

@ แต่ละคนมีความประพฤติตามที่เป็นไป เพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น

@ ปัญญา เป็นสิ่งที่เงินทองซื้อไม่ได้

@ ถ้าสะสมกุศล อบรมเจริญปัญญา ความเห็นถูก ก็จะมีกำลังขึ้นได้

@ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้ทรงแสดงไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จมาจากการขอ แต่ต้องมีเหตุปัจจัย

@ เกิดกุศลแล้ว แม้เพียงมีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม ซึ่งเป็นขณะที่หาได้ยากในขณะนี้

@ ขณะที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี้แหละคือ เห็นผิด กว่าจะไม่มีความเห็นผิด ก็ต้องสะสมความเข้าใจถูก ตั้งแต่ในขณะนี้

@ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีใครได้ยินแม้แต่คำว่า ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้

@ เห็นว่ามีคน มีสัตว์ จริงๆ ที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ถูกหรือผิด ... ผิด แล้วจะรู้ว่า ผิดได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

@ จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเข้าใจธรรมก่อนตาย เพราะถ้าก่อนตาย ยังไม่เข้าใจธรรม ก็จะไม่รู้ต่อไป

@ เมื่อกล่าวถึงกุศล อกุศล ไม่ได้อยู่ในตำราเลย แต่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน

@ ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรมมากขึ้น จะเห็นได้ว่า ชีวิตไม่ได้มีสาระ อะไรเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม

@ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะต้องเป็นผู้รู้คุณคือพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

@ ละชั่ว เป็นธรรม ทำดี ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา

@ ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่สาวก ย่อมไม่รู้ต่อไปในทุกภพทุกชาติ

@ แสงสว่างของปัญญาจะส่องให้เห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้

@ เห็น เป็นธรรม ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล

@ ดี เพราะเพียงแค่ไม่ทำทุจริตกรรม พอไหม? ไม่พอแน่ เพราะถ้าไม่สะสมความดี ไม่อบรมเจริญปัญญา อกุศลก็จะเพิ่มมากขึ้น

@ ปฏิบัติด้วยความไม่รู้ แล้วจะรู้อะไร ถ้าไม่เข้าใจถูกเห็นถูก ก็ไม่ต้องพูดถึงปฏิบัติ เพราะผิดแน่

@ ถ้ามีกุศลเกิดมากขึ้น ความไม่ดีที่จะเกิดขึ้นก็จะน้อยลง

@ หนทางที่จะทำให้รู้ความจริง ยาก แต่ถ้ามีความอดทน วันหนึ่งก็ต้องถึง

@ ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ใครก็หยุดยั้งให้ไม่ฟังพระธรรม ไม่ได้เลย

@ อกุศลเจตสิกประการต่างๆ ไม่ได้เกิดที่อื่น แต่เกิดกับจิต ทำให้จิต เป็นอกุศล

@ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงในขณะนี้ เป็นสิ่งที่รู้ได้ แต่ไม่รู้ แล้วควรที่จะรู้ไหม?

@ ไม่มีแม้แต่ขณะเดียว ที่ธรรมเกิดขึ้นแล้วจะไม่ทำกิจหน้าที่

@ ลืมอะไรหรือเปล่า? ลืมว่าขณะนี้ เป็นธรรม ถ้าไม่มีพระธรรมคอยเตือน ก็ไม่รู้

@ สิ่งใดที่เกิดแล้ว ดับแล้ว สิ่งนั้นไม่กลับมาอีกเลย

@ ละวาง คือ ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ซึ่งยึดถือมานานแสนนาน

@ เห็น ก็ย่อมเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา คือ สี เท่านั้น

@ ไม่ว่าจะได้ยิน ได้ฟังคำไหน ก็ไม่พ้นไปจากธรรมเลย เช่น สติ ปัญญา เป็นต้น เป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. จังหวัดเชียงใหม่ ทุกๆ ท่านที่ได้ร่วมใจกันจัดสนทนาธรรมและอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แก่ผู้เข้าร่วมสนทนาธรรม

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ทุกๆ ท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 18 ก.ค. 2556

"...คำสอนทั้งหมด ประมวลลงที่ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน มีแต่ธรรม เท่านั้นจริงๆ ..."

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย ด้วยครับ ที่ให้ได้เห็นภาพบรรยากาศการสนทนาธรรมพร้อมความธรรมะ โดยรวดเร็ว ทันใจมาก

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
napachant
วันที่ 18 ก.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 18 ก.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Lamphun
วันที่ 18 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
panasda
วันที่ 18 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
j.jim
วันที่ 18 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kinder
วันที่ 18 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 18 ก.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Boonyavee
วันที่ 18 ก.ค. 2556

ขอกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wirat.k
วันที่ 19 ก.ค. 2556

ขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 19 ก.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
mon-pat
วันที่ 20 ก.ค. 2556

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Jans
วันที่ 21 ก.ค. 2556

"ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีเหตุปัจจัย และไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ถาวรเลย เพราะเกิดแล้วก็ต้องดับไป จึงไม่มีสิ่งใดที่ควรแก่การติดข้องยินดีพอใจ"

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณคำปั่น อักษรวิลัย ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
j.jim
วันที่ 23 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
papon
วันที่ 23 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 ก.ค. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิต

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
ch.
วันที่ 24 ก.ค. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
raynu.p
วันที่ 25 ก.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
boonpoj
วันที่ 26 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
chatchai.k
วันที่ 12 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
Kalaya
วันที่ 12 ม.ค. 2564

เห็นและเข้าใจในความดีงามที่ปรากฏในอักษร และภาพทุกภาพที่สื่อความจริงมาเนิ่นนาน _ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ประจักษ์และเข้าใจในธรรมค่ะ

กราบอนุโมทนาในการถ่ายทอดบรรยายมาด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ