ประโยชน์ของการเข้าใจว่าสภาวธรรมเกิดดับตลอดเวลา
ได้ฟังคำพูดที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก หลายวันก็ยังคิดถึงคำพูดนั้น หาเหตุ
ผล108 สนับสนุนว่า เขาเป็นคนไม่ดี เด็กกว่าเรา .ทั้งที่เราให้โอกาสเขาเรียนรู้ ..เมื่อ
เก่งแล้วกลับมาลบหลู่เราได้ ..แค้นใจ เสียศักดิ์ศรีความเป็นหัวหน้า บางครั้งก็ถาม
ตัวเองว่า ความไม่พอใจนี้เกิดจากอะไร การได้ยินเกิดจากอะไร เขาพูดด้วยเหตุใด
จิตใดที่ทำให้เขาพูด ....เป็นบุญเหลือเกิน ที่ฟังธรรมจากบ้านธรรมทุกวันไม่หยุด
พร้อมกับพยายามไตร่ตรองปัญหาที่เกิดในใจครั้งนี้ เพราะรู้สึกเหมือนก้างติดคอ
ทุกข์มาก วันหนึ่ง จึงชัดในความจริงที่ท่านอาจารย์สุจินต์พยายามย้ำเสมอว่า ธรรม
คือสิ่งที่มีจริง แต่ละอย่างเป็นธรรม และมีสภาพของแต่ละอย่าง ....ที่สำคัญ หมด
สภาพนั้น จึงเกิดสภาพใหม่ ...เสียงนั้น ดับไปนานแล้วๆ ไม่มีวันย้อนกลับมาอีกได้
หากจะมีเสียงที่ไม่พอใจให้ได้ยินอีก ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ทั้งเขา และเรา .........
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ ไม่มีทั้งเขาและเรา มีแต่สภาพธรรมที่เกิดดับทุกขณะ
อย่างไรก็ตามอยากได้รับคำวิจารณ์หรืออธิบายเพิ่มเติมเพื่อการเจริญปัญญายิ่งๆ
ขึ้นค่ะ เพราะกว่าจะหลุดความโกรธ ไม่พอใจที่เล่ามานั้น ก็ใช้เวลาเกือบเดือนนะคะ
และไม่รู้ว่า ที่มันหายโกรธเพราะเวลาที่ผ่านไปหรือเปล่า? ทุกวันนี้ เห็นคุณค่าของ
การฟังธรรมมากจริงๆ ใจของตัวเองเมื่อกราบพระพุทธรูปรู้สึกว่านอบน้อมและศรัทธา
ต่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสูงสุดในพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ ต่างกับ
เมื่อก่อน ที่ทำไปเพียงกายไม่ได้น้อมไปสู่ใจเท่าทุกวันนี้
ขอก้มศรีษะกราบแทบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพและเห็นพระคุณ
และขอบพระคุณคณะอาจารย์ทุกท่าน มา ณ ที่นี้
ผมเองก็ยังเป็นผู้ศึกษาน้อย พึ่งศึกษากับท่านอาจารย์สุจินต์ ขอแสดงความคิดเห็นตาม
ประสบการณ์ผิดหรือถูกก็ต้องขออภัย ความโกรธที่เกิดขึ้นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง
เมื่อมีเหตุและปัจจัย ความโกรธก็ย่อมเกิด และเมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว เวลาใดที่มี
การนึกคิดทางมโนทวาร ความโกรธก็จะเกิดขึ้นอีกและถ้าหลงลืมสติ การปรุงแต่งของ
จิตก็จะเพิ่มอกุศลเพิ่มในจิตโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าการขาดสติ ผลเสียก็อาจจะทำให้ล่วง
ออกมาทางวจีกรรมเมื่อเวลาพบกัน ที่ร้ายไปยิ่งกว่านั้น ถ้าเป็นคนใจร้อน อาจมีการ
กระทำไม่ดีทางกายคือกายกรรมทุจริต ผมเองก็เคยยึดถือความโกรธว่าเป็นตัวเรา
โกรธ. เช่นตัวเราไม่ชอบไม่พอใจ พอเริ่มเห็นโทษของการโกรธว่าเป็นอกุศล เป็นโทษ
ก็พิจรณาจิตที่กำลังคิดถึงผู้ที่เราโกรธก็รู้ว่าขณะที่คิด เรื่องที่คิดนะจริง แต่ถ้ายังไม่เห็น
โทษของอกุศลความโกรธก็ยังมีอยู่ต่อไป แต่ถ้าเข้าใจถึงโทษของการผูกโกรธ ความ
โกรธในเรื่องนั้นก็จะค่อยๆ น้อยลงไป แต่ก็มิได้หมดไปได้ในทันที เมื่อมีเหตุและ
ปัจจัยเรื่องที่โกรธนั้นก็จะเกิดทางมโนทวารอีก. ซึ่งต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์จริง ขณะที่
ผมไปซื้อของที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง ก็พบคนที่เคยผูกโกรธโดยความบังเอิญ ทั้งสองคนต่อ
แถวที่จะต้องจ่ายเงิน พอเห็นหน้าของผู้นั้นผมก็อึ้งไปพักหนึ่ง ถ้าเป็นแต่ก่อนหมายถึง
ยังไม่เข้าใจธัมมะผมก็คงไม่พูดอะไรคงยืนต่อแถวเฉยๆ แต่วันนั้นพอผมมีสติผมก็
กล่าวสวัสดีกับเขา แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงธรรมดาว่า มาซื้ออะไรครับ ไม่เห็นหน้า
มานานสบายดีหรือ ผมก็ได้รับคำตอบที่ดีกลับมา จิตขณะที่ได้รับคำตอบมีความโล่ง
พอกลับมาบ้านก็รู้ว่ามิได้มีความโกรธกับผู้นั้นแล้ว เพราะขณะที่กล่าวสวัสดีคำพูดที่ดี
ได้พูดออกไปก็มิได้เป็นอกุศลในขณะนั้น ฉะนั้นจึงควรชนะความไม่ดีของเราด้วย
ความดี ไม่ต้องใส่ใจในความไม่ดีของผู้อื่น ผมก็เห็นประโยชน์ของการฟังธรรม
ท่านอาจารย์สุจินต์มีพระคุณมากๆ ท่านอบรมสั่งสอนให้ผู้ศึกษาให้มีความเข้าใจ
ธัมมะตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจสภาพธรรมที่เกิดปรากฏในปัจจุบันได้บ่อยๆ
เนื่องๆ . ก็จะเป็นผู้อยู่กับปัจจุบัน แล้วความเข้าใจแต่ละขั้นก็เพิ่มขึ้นเอง จนกระทั่ง
ความโกรธก็จะค่อยๆ คลายไปทีละน้อย เพราะความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็หามี
ไม่ในตัวเรา มีแต่เพียงจิต,เจตสิก และรูปเท่านั้น
ซึ่งผมเองก็ยังศึกษาและน้อมพิจรณาเพื่อให้เกิดความเห็นถูกมากขึ้นในชีวิตประจำวัน
ขออนุโมทนาด้วยครับ
ขอบคุณค่ะสำหรับการเตือนสติว่า มโนทวารก็เป็นเรื่องที่ต้องระวังอกุศล และการให้
เข้าใจสภาพธรรมที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง และอยู่กับ
ปัจจุบัน ช่วยได้มากกับการให้ดูจิตตัวเองให้ทันว่าเป็นอกุศลก่อนที่จะคิดเรื่องที่
ทำให้เราโกรธแม้จะเป็นเรื่องจริง...ไม่มีประโยชน์เลยที่จะไปดูจิตคนอื่น ทั้งที่จิต
ตนเองยังมีปัญหาสาหัส..ที่สำคัญทั้งจิตของเราก็เกิดดับตามปัจจัย..ที่พูดนี้กำลัง
สอนตัวเอง..เรื่องที่เล่ามาขอชื่นชมค่ะเพราะทำได้ยากแต่เข้าใจค่ะว่าการฟังธรรม
เป็นเหตุให้ขัดเกลาได้...จึงต้องฟังพระธรรมทุกวัน.ยิ่งฟังยิ่งเห็นว่ามีความจำเป็น
ต้องฟังให้มาก.
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ