สนทนาธรรม ณ แพรวอาภาเพลส ราชบุรี - บุญ บาป คำที่ไม่รู้จัก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุญ-บาป คำที่ไม่รู้จัก
คุณจรัญ ก็มีคำถามมาอีกแล้วนะครับว่า มีผู้ส่งมานะครับ
กราบอนุโมทนา ในกุศลศรัทธาของท่านอาจารย์สุจินต์และคณะ ทุกท่านที่มาร่วมในการเจริญกุศล ขอเรียนถามปัญหาค่ะ ถามว่า คำพูดที่ไม่รู้จัก คำว่าบุญ คำว่าบาป รู้แต่ชื่อ เป็นอย่างไรคะ
ก็ขอเรียนเชิญ อาจารย์คำปั่น ลองให้ความหมาย ก่อนนะครับ
อาจารย์คำปั่น กราบท่านอาจารย์ จริงๆ ในตอนต้น ท่านอาจารย์ ก็ได้กล่าวแล้ว ว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย กล่าวได้เลยว่า พูดคำที่ไม่รู้จัก จนกว่า จะได้ฟัง พระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ผู้ที่เกิดมาเป็นคนไทย น้อยคนที่จะไม่ได้ยินคำว่าบุญ น้อยคนที่จะไม่ได้ยินคำว่าบาป แต่ ความละเอียด ลึกซึ้ง เป็นอย่างไร จะเข้าใจจริงๆ นะครับ ก็ต่อเมื่อ ได้ฟัง ความจริง ที่เป็น สัจจธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง เมื่อกล่าว โดยความหมาย
คำว่า “บุญ” ซึ่งก็เป็นคำที่มาจากภาษาบาลีว่า “ปุญญะ” ซึ่งก็หมายถึง สภาพธัมมะ ที่ชำระจิต ให้สะอาด ให้ปราศจากอกุศล เพราะฉะนั้น “บุญ” ต้องเป็นธัมมะฝ่ายดี แน่นอน ที่เกิดขึ้น เป็นไป ในขณะนั้น เมื่อ “บุญ” เกิดขึ้น สภาพธัมมะที่ไม่ดีประการต่างๆ ก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น สภาพธัมมะ ที่ดีงาม ที่เกิดขึ้นเป็นไป ในชีวิตประจำวัน “เป็น บุญ” อย่างเช่น ในขณะที่มี กุศลเจตนา ที่ดี มีการให้ทาน มีการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น นี่นะครับ คือ “บุญ” แม้แต่ ในขณะนี้ ที่ มีการฟังธัมมะ มีการได้ฟังความจริง ขณะนั้น มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็เป็น “บุญ” เช่นกัน เป็นไปเพื่อขัดเกลาความไม่รู้
เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว สภาพธัมมะ ที่เป็นบุญ ก็ได้แก่ กุศลจิต และ เจตสิกธรรม ที่เกิดร่วมด้วย ซึ่งก็คงจะได้สนทนาในรายละเอียดต่อไป กุศลทุกระดับขั้น เป็น บุญ เพราะว่า เป็นเครื่องชำระขัดเกลาสิ่งไม่ดี คือ อกุศลธรรมทั้งหลาย ที่นี้เมื่อกล่าวถึงบุญนะครับ ก็จะมี สภาพธัมมะ ที่ตรงกันข้ามกับ “บุญ” ก็คือ สภาพธัมมะ ที่เป็น “บาป”
บาป มาจาก ภาษาบาลี ว่า ปาปะ ซึ่งก็หมายถึง สภาพธัมมะ ที่ต่ำทราม สภาพธัมมะ ที่ไม่ดี ไม่งาม สภาพธัมมะ ที่ให้ผลเป็นทุกข์ ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้นเลย เพราะฉะนั้น บาป ก็ไม่พ้นไปจาก ธัมมะที่มีจริง แต่เป็นธัมมะฝ่ายที่ไม่ดี เมื่อกล่าว โดยสภาพธัมมะแล้ว ก็คือ อกุศลจิต และ เจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย แต่ว่า กำลังของอกุศล นี่นะครับ ก็มีต่างขั้นกันมากเลยครับ เพราะว่า การสะสมอกุศล เป็นสิ่งที่ ประมาท ไม่ได้เลย เพราะว่า เมื่อมีกำลังมากขึ้น ก็ล่วงเป็น ทุจริตกรรม ประการต่างๆ มีการฆ่าสัตว์ มีการลักทรัพย์ มีการประพฤติผิดในกาม อันนี้เป็น การแสดงถึง ความเป็นบาป ที่ชัดเจน เมื่อเหตุมีแล้วนะครับ ก็ย่อมจะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้เกิด ผลที่ไม่ดี ในภายหน้า
เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ก็เพื่อ เข้าใจจริงๆ ว่า บาป เป็น ธัมมะที่มีจริง เป็นธัมมะที่ไม่ดี ประโยชน์ ก็คือ ได้รู้ ได้เห็นโทษเห็นภัย ตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูล ตรงที่ว่า เห็นโทษเห็นภัยแล้ว ก็จะเป็น ผู้ถอยกลับจากบาป ถอยกลับจากอกุศล แล้วก็ เพิ่มพูนคุณความดี ก็คือ “บุญ” หรือว่า “กุศลธรรม” ประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน นะครับ มี การฟังพระธรรม เป็นต้น
ท่านอาจารย์สุจินต์ ก็ขอเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจ จากที่ได้ฟังแล้ว ได้ยิน คำว่า บุญ คือ กุศล ได้ยิน คำว่า บาป คือ อกุศล เป็น ธัมมะ หรือเปล่า เป็น สิ่งที่สำคัญมาก ไม่ใช่ว่า “คำ” ที่เราได้ยินแล้ว เราก็ผ่านไป แต่ถ้ารู้ว่า กุศลธรรม เป็น กุศล จริง แต่ เป็นธัมมะ ไม่ใช่เรา จึงใช้ คำว่า กุศลธรรม อกุศล คือ สิ่งที่ไม่ดี ก็มีจริงๆ ความโกรธ ความโลภนะคะ ความหลง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ดี ความมานะ ความสำคัญตน นะคะ เป็นธัมมะ จึงใช้คำว่า “อกุศลธรรม”
เพราะฉะนั้น เวลาที่ศึกษาธัมมะ ก็จะรู้ได้ว่า ทุกอย่าง ที่มีจริง นี่ค่ะ เป็น ธัมมะ อย่าง ความโกรธ เกิดแล้ว นะคะ ไม่ดี ใช่ไหม เป็นของใครหรือเปล่า หรือเป็นใครหรือเปล่า หรือ เป็นชั่วขณะ ที่มีปัจจัย ทำให้ ความโกรธ เกิดขึ้น ความโกรธ ก็เกิด เวลาที่ เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ หรือว่า ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ได้กลิ่น แม้แต่ลิ้มรส แม้แต่จะกระทบทางกาย สิ่งที่ไม่น่าพอใจ ทั้งหมด เกิด ตามเหตุตามปัจจัย จึงเป็นธัมมะ แล้วธัมมะที่ไม่ดี ก็ไม่ใช่เรา ข้อสำคัญที่สุด เมื่อได้ศึกษาพระธรรม ก็จะรู้ได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง นี่ค่ะ เป็นธัมมะ จริงๆ แต่ก็ เป็นอนัตตา “อนัตตา” คือ ไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อฟังธัมมะ พอได้ยิน คำว่า บุญ-บาป หรือว่า กุศล-อกุศล ก็รู้ว่า ทุกอย่าง เป็นธัมมะ จึงมีคำว่า กุศลธรรม อกุศลธรรม
คุณจรัญ ก็คงจะได้ เข้าใจ คำว่า “บุญ” แล้วก็ “บาป” นะครับ
ท่านอาจารย์สุจินต์ ก่อนฟัง “เป็นเราโกรธ” ใช่ไหมคะ ตั้งแต่นี้ไป “ไม่ใช่เรา” โกรธ เนี่ยค่ะ เป็น ธัมมะ ถ้าเป็นอกุศล ก็เป็นฝ่ายไม่ดี ถ้าเป็นกุศล ก็เป็นฝ่ายที่ดี เกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป บังคับบัญชาไม่ได้เลย ไม่มีใครอยากไม่ดี อยากมีแต่ดี แต่วันนึงๆ ก็แล้วแต่ว่า มีปัจจัย ที่จะทำให้ธัมมะฝ่ายใดเกิด ก็ต้องเกิด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร