ทะเลชื่อทะเลภาพและสัญญาเจตสิก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทะเลชื่อ ทะเลภาพ คือ บัญญัติ เรื่องราว ที่เป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ อันเกิดมาจาก
การคิดนึกซึ่งทะเลชื่อ ทะเลภาพที่เป็นบัญญัติ มีได้เพราะอาศัยธรรมที่มีจริงที่เป็นจิต
เจตสิกเกิดขึ้นเพราะมีปรมัตถ จึงมีบัญญัติ มีเรื่องราวที่เรียกว่า ทะเลภาพ ทะเลชื่อ
เพราะฉะนั้น ขณะที่มีเรื่องราว มีสัตว์ บุคคล ที่เรียกว่า ทะเลภาพ ทะเลชื่อ ขณะนั้น
ก็ต้องมีจิตที่คิดนึก เมื่อมีจิตก็ต้องมีเจตสิกด้วย จิตที่เกิดขึ้นจะต้องมีเจตสิกอย่างน้อย
7 ประเภท เกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น สัญญาเจตสิก ทำหน้าที่จำหมายในอารมณ์ ใน
สิ่งที่จิตรู้ในขณะนั้น เพราะฉะนั้น สัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท เมื่อมีจิตที่คิด
นึก เป็นเรื่องราวต่างๆ ก็มี เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในขณะนั้น ที่เป็นสัญญาเจตสิก ขณะ
นั้น กำลังจำ จำอะไร จำเรื่องราว ที่จิตกำลังคิดนึก ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เห็นเป็นสิ่ง
ต่างๆ เห็นเป็นแมว ขณะนั้น ก็มีจิตที่คิดนึก และมีสัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย จำเรื่อง
ราว ที่เป็นแมวในขณะนั้น เมื่อมีโอกาสเห็นแมว ที่มีลักษณะคล้ายอย่างนี้ที่มีการคิดนึก
ก็รู้ว่า เป็นแมวตัวนี้เพราะอาศัยสัญญา ความจำในอดีตที่เคยจำแมวตัวนี้มานั่นเอง ครับ
เพราะฉะนั้น สัญญาเจตสิก ที่ทำหน้าที่จำ จึงจำเรื่องราว ที่เป็นทะเลภาพ ทะเลชื่อ
ในขณะนั้น อันจะเป็นปัจจัยให้นึกขึ้นได้ เพราะเคยจำเรื่องราวนั้นนั่นเอง นี่คือ ความ
เกี่ยวข้องของสัญญา กับ ทะเลภาพ ทะเลชื่อที่เป็นเรื่องราว ครับ
และถ้าไม่มีสัญญาเจตสิกเกิดขึ้น ก็ไม่มีจิตเกิดขึ้น เมื่อไม่มีจิต ไม่มีเจตสิกเกิดขึ้น
เพราะ ไม่มีสัญญาเกิดขึ้นแล้ว โลกนี้ก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเรื่องราว ไม่มีสิ่งต่างๆ แต่
เพราะ มีการจำ มีสัญญาเจตสิกเกิดขึ้น จึงมีเรื่องราวต่าง ๆ มีการคิดนึก และ จำได้
หมายรู้ ในสิ่งนั้น เรื่องราวนั้น และ ทำให้จำได้ว่าเป็นใคร เป็นสิ่งใด และ ก็ปรุงแต่ง
เป็นทะเลภาพ ทะเลชื่อมากมาย เพราะอาศัยการจำ สัญญาเจตสิกที่เคยเกิดขึ้นใน
อดีตครับ นี่คือ ความเกี่ยวข้องกันของสัญญาเจตสิก และ ทะเลภาพ ทะลเชื่อ ที่เป็น
เรื่องราว ขออนุโมทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ทุกขณะมีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตนๆ โดยไม่ปะปนกันและกันที่สำคัญ ทุกขณะที่จิตเกิดขึ้นนั้น จะต้องรู้อารมณ์ และมีเจตสิกประการต่างๆ เกิดขึ้นประกอบกับจิตตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ หนึ่งในนั้น คือ สัญญา-เจตสิก สัญญาเจตสิกเป็นสภาพที่จำในอารมณ์ เกิดขึ้นทำกิจจำในอารมณ์เมื่อจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์อะไร สัญญาก็จำในอารมณ์นั้น ที่เป็นทะเลชื่อ ทะเลภาพ นั้น เป็นความคิดนึกทางมโนทวาร ขณะที่วิถีจิตทางใจหรือทางมโนทวารเกิดขึ้นเป็นไป ก็มีสัญญาเจตสิกเกิดขึ้นด้วยในขณะนั้น เพราะเคยจำมาแล้วจึงเป็นเหตุให้มีการตรึกนึกถึงชื่อ เรื่องราวต่างๆ ซึ่งในขณะนั้นก็มีสัญญาเจตสิกเกิดขึ้นจำอีก เป็นการเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของธรรม ไม่ใช่เราเลยจากการศึกษาพระธรรม ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ขณะที่คิดนึก ล้วนมีสัญญาเกิดขึ้นทำหน้าที่จำ ทั้งนั้น ไม่มีเว้น
สิ่งที่น่าคิด คือ ในชีวิตประจำวันเราสะสมการจำ และการตรึกในทางกุศล หรืออกุศลมากกว่ากัน เพราะโดยปกติอกุศลจิตเกิดขึ้นมาก สัญญาก็จำในทางที่เป็นอกุศลมาก ในขณะที่เป็นอกุศลในสิ่งใด ก็สะสมความจำอย่างอกุศลนั้นๆ ไป และมี
ปัจจัยที่จะตรึกถึงสิ่งนั้นๆ ด้วยอกุศลอย่างนั้นๆ และก็มีความจำใหม่ที่จำอย่างอกุศลต่อไปอีก แต่ถ้าเป็นในทางกุศลก็ตรงข้าม เช่นในขณะที่กำลังฟังธรรมพิจารณาธรรม
ก็เป็นกุศลซึ่งก็ต้องมีสัญญาเกิดขึ้นทำกิจจำอย่างเป็นกุศล และสะสมไว้ในจิตขณะต่อๆ ไปด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลในชีวตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...