มีผู้บรรลุมรรคผลเบื้องต้นในเพศฆราวาสขณะที่เป็นโสดแล้วต่อมาใช้ชีวิตครองคู่บ้างไหมครับ?

 
tanaprasith
วันที่  10 ส.ค. 2556
หมายเลข  23329
อ่าน  3,530

"สมัยพุทธกาล" หรือว่าตามหลักการ หรือว่าหลักฐานที่ปรากฏทางพระพุทธศาสนา

มีใครที่บรรลุมรรคผลเบื่้องต้นเช่น โสดาบัน/สกทาคามี ในเพศของฆราวาสขณะที่ตนยัง

เป็นโสดอยู่ แล้วต่อมาแต่งงาน ครองเรือน ใช้ชีวิตข้องแวะกับทางโลกเยี่ยงปุถุชนบ้่าง

ไหมครับ? สงสัยตรงที่ว่าพอละความเห็นผิดว่ามีตัวเราของเราแล้ว จะทำให้ "ความ

รู้สึกอยากมีคู่ครอง" อยากเข้าไปข้องแวะในเรื่องต่างๆ เช่น ดูแล เอาใจใส่ เสพกาม โดย

เฉพาะกับเพศตรงข้ามลดลง บ้างไหมครับ?

หรือว่าแม้จะบรรลุมรรคผลเบื้องต้น หากว่ากรรมจัดสรรเรื่องคู่ครองมา ยังงัยก็ยังคง

ต้องแต่งงาน ครองเรือน ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปเพียงแต่ว่าต่างกันตรงที่รักษาศีลยิ่งชีพ/มี

สติ สัมปชัญญะที่มากกว่าปุถุชนทั่วๆ ไปจากการฝึกฝนมา หรือว่า แล้วแต่ผู้บรรลุ

มรรคผลผู้นั้นจะเลือกทางในการดำเนินชีวิตเองว่า จะเพียรดำเนินกิจในสังสารวัฏฏ์ให้จบ

สิ้นหรือว่ายังอยากที่จะข้องแวะกับทางโลก/

หรือว่าข้องแวะด้วยความจำเป็นบางประการเช่น เลี้ยงดูบิดา มารดา เป็นต้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำหรับประเด็นการมีคู่ครอง ในเพศคฤหัสถ์ เมื่อบรรลุเป็นพระอริยบุคคลแล้ว มา

แต่งงาน มีคู่ครองนั้น ก็มีในพระไตรปิฎกครับ หากแต่ว่าธรรมดาของผู้ที่บรรลุเป็น

พระอริยบุคคลแล้ว กิเลสที่เคยมี รวมทั้งปัญญาของพระอริยบุคคลกับปุถุชน ย่อมต่าง

กัน ราวฟ้ากับดิน ปุถุชน เมื่อเกิดความติดข้อง ย่อมติดข้องมาก มีกำลังจนสามารถที่

จะทำบาป ทำทุจริตได้เป็นธรรมดา ส่วนพระอริยบุคคล แม้เป็นพระอริยะเบื้องต้น เช่น

พระโสดาบัน ความติดข้อง รวมทั้งกิเลสที่เกิดขึ้น ย่อมไม่มีกำลังมาก หากเทียบกับ

ปุถุชน และไม่ถึงกับทำทุจริต เพราะกิเลสนั้น

ซึ่งการอยู่ครองเรือน (แต่งงาน) โดยมากก็ด้วยโลภะ ความยินดีพอใจ หากว่า

บรรลุเป็นพระอริยเจ้าแล้วเป็นพระโสดาบัน แต่ยังยินดีพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่

กระทบสัมผัส ก็ยังสามารถที่จะแต่งงาน ครองเรือนได้ ดังปรากฎในพระไตรปิฎก

คือ เรื่องนายพราน กุกกุฏมิตร ที่มีธิดาเศรษฐี บรรลุเป็นพระโสดาบัน และมีเหตุคือ

ได้พบนายพราน ที่เคยรักกันมาในอดีตชาติ หลงรักอย่างมาก จึงหนีตามไปแต่งงาน

ด้วยกัน เพราะความรักนั้น จนมีบุตรด้วยกัน นี่ก็แสดงให้เห็นถึง กิเลสที่ยังมี คือ ความ

พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสเป็นธรรมดา ก็เกิดได้ แต่การแต่งงาน

เพราะยังมีโลภะนั้น ไม่ได้ด้วยการทำทุจริต กิเลสของท่านจึงไม่มีกำลังถึงทำทุจริต

เป็นเหตุให้ไปอบาย ครับ นี่คือ ตามตัวอย่างที่กล่าวมา แม้แต่ นางวิสาขา ท่านก็บรรลุ

เป็นพระโสดาบัน ตั้งแต่เจ็ดขวบ ก็แต่งงาน ครองเรือน และก็สามารถอบรมปัญญาใน

เพศคฤหัสถ์ เจริญกุศลได้ ครับ

การครองเรือน จึงไม่ใช่เป็นเครื่องกั้นการเจริญอบรมปัญญา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อมก็

สามารถมีได้เป็นธรรมดา แต่หากเป็นพระอนาคามีแล้ว ก็ไม่ครองเรือน แต่สามารถ

ใช้ชีวิตคฤหัสถ์ได้ เช่น ฆฏิการช่างหม้อ ซึ่งดูแลมารดา บิดา ที่ตาบอด ท่านก็ไม่บวช

แต่ก็ดูแล ครอบครัว พร้อมๆ กับการเจริญกุศล ประการต่างๆ ครับ

จะเห็นได้ว่า ปัญญาสามารถเกิดได้ และ อบรมปัญญาต่อได้ รวมทั้งเจริญกุศล

อบรมปัญญา แม้จะเป็นเพศคฤหัสถ์และ อยู่ครองเรือนแล้ว เพราะ ปัญญาจะเกิด หรือ

ไม่เกิด ไม่ได้อยู่ที่การครองเรือน หรือ ไม่ครองเรือน แต่อยู่ที่การสะสมเหตุ คือ การ

ศึกษา ฟังพระธรรมในหนทางที่ถูกต้องเป็นสำคัญ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 10 ส.ค. 2556

พระอริยบุคคลที่เป็นพระโสดาบัน ก็ยังมีครอบครัว แต่งงานได้ เช่น นางวิสาขา หรือ

ท่านอนาถะ แต่ถ้าเป็นพระอนาคามี ท่านก็ไม่ครองเรือน ไม่แต่งงาน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
jariya.tr
วันที่ 10 ส.ค. 2556

ตัวดิฉันก็เคยมีครอบครัวมาแล้ว (ในความรู้สึก) รู้สึกโชคดีที่ทุกวันนี้มีเหตุ

ให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทําให้มีเวลาศึกษาธรรมะมากขึ้น มิเช่นนั้นวันวันก็คงจะวุ่นวาย

อยู่แต่กับคู่ครองถ้าเขาสนใจธรรมก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเขาไม่สนใจ เราเปิดธรรมะ

ดังเกินไป เขาก็คงจะรําคาญ ธรรมะเป็นเรื่องละเอียดต้องฟังด้วยความตั้งใจจึงจะ

เข้าใจแจ่มแจ้ง

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 13 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ