โมกขธรรมหรือโมกษะ

 
natural
วันที่  12 ส.ค. 2556
หมายเลข  23357
อ่าน  15,637

จากการสืบค้นคำว่า โมกขธรรมหรือโมกษะ เว็บไซต์หนึ่งได้ให้ความหมายว่า

"ความหลุดพ้น หรือ นิพพาน หรือวิมุติ ซึ่งเป็นทางไปสู่ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ

ไม่ตาย และเป็นอมตะ" จึงอยากเรียนถามว่ามีกล่าวในพระไตรปิฎกหรือไม่ อย่างไรคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้แต่คำว่า โมกษะ

หรือ โมกขะ ซึ่งโมกษะ หรือ โมกขะในพระไตรปิฎก หมายถึง ความพ้น หลุดพ้น แต่

ในความหลุดพ้นที่เป็น โมกขะ นี้ ก็มีหลายระดับ ทั้งโดยนัยสูงสุด จนถึงต่ำสุด

หากพิจารณาในชีวิตประจำวัน ก็มี การหลุดพ้น คือ หลุดพ้น จากกิเลสชั่วขณะ

ที่เป็นกุศล ขณะนั้นก็เป็น วิมุตติ เป็นโมกขะ ที่หลุดพ้นจากกิเลสชั่วขณะที่กุศลจิตเกิด

แต่ยังไม่ใช่การหลุดพ้นที่แท้จริง ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแบ่งระดับของโมกขะที่เป็นวิโมก

ไว้หลายประการ หลายนัยดังนี้

วิโมกข์ 3 ความหลุดพ้น เพื่อถึงพระนิพพาน

สุญญตวิโมกข์ สุญฺญต (ความว่างเปล่า , ความสูญ) + วิโมกฺข (ความหลุดพ้น)

ความหลุดพ้นโดยพิจารณาถึงความว่างเปล่า หมายถึง พระนิพพานในขณะที่เป็น

อารมณ์ของมรรคจิตผลจิตเพราะว่างเปล่าจากกิเลสทั้งปวงโดยผู้ที่อบรมปัญญาเจริญ

สติปัฏฐาน มีการน้อมมนสิการนามรูปโดยสภาพที่เป็นอนัตตา เมื่อปัญญาสมบรูณ์

พร้อม จนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมไปตามลำดับ ขณะที่จะหลุดพ้น อนุโลมญานซึ่งมี

ไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ จะมีอนัตตลักษณะปรากฏโดยความเป็นใหญ่ เมื่อมรรคจิต

ผลจิตเกิดขึ้น ความหลุดพ้นนี้จึงได้ชื่อว่า สุญญตวิโมกข์

อนิมิตตวิโมกข์ อนิมิตฺต (ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย) + วิโมกฺข (ความหลุดพ้น)

ความหลุดพ้นโดยพิจารณาความไม่มีนิมิตเครื่องหมาย หมายถึง พระนิพพานใน

ขณะที่เป็นอารมณ์ของมรรคจิต ผลจิต เพราะไม่มีนิมิตเครื่องหมายคือกิเลส

โดยผู้ที่อบรมปัญญา เจริญสติปัฏฐานมีการน้อมมนสิการนามรูป โดยสภาพที่เป็น

อนิจจัง เมื่อปัญญาสมบรูณ์พร้อมจนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมไปตามลำดับ ขณะ

ที่จะหลุดพ้น อนุโลมญานซึ่งมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ จะมีอนิจจลักษณะปรากฏโดย

ความเป็นใหญ่ เมื่อมรรคจิตผลจิตเกิดขึ้น ความหลุดพ้นนี้จึงได้ชื่อว่าอนิมิตวิโมกข์

อัปปณิหิตวิโมกข์ น (ไม่มี) + ปณิธิต (ตั้งไว้แล้ว) + วิโมกฺข (ความหลุดพ้น)

ความหลุดพ้นโดยพิจารณาความไม่มีที่ตั้ง หมายถึง พระนิพพานในขณะที่เป็น

อารมณ์ของมรรคจิตผลจิต เพราะไม่มีที่ตั้งคือกิเลสทั้งปวง โดยผู้ที่อบรมปัญญา

เจริญสติปัฏฐาน มีการน้อมมนสิการนามรูปโดยสภาพที่เป็นทุกข์ เมื่อปัญญาสมบูรณ์

พร้อมจนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมไปตามลำดับ ขณะที่จะหลุดพ้น อนุโลมญานซึ่งมี

ไตรลักษณ์เป็นอารมณ์ จะมีทุกขลักษณะปรากฏโดยความเป็นใหญ่ เมื่อมรรคจิต

ผลจิตเกิดขึ้น ความหลุดพ้นนี้จึงได้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์

--------------------------------------

ดังนั้น วิโมกข์ ที่เป็นความพ้น ใน 3 ประการที่กล่าวมา ก็เป็นลักษณะของ

พระนิพพาน เช่นกัน เป็นการถึงพระนิพพาน โดยการพิจารณาโดยนัยต่างๆ กัน ครับ

และ อีกนัยหนึ่ง ยังแบ่ง วิโมกข์ เป็น 8 ประการ อันเป็นการแสดงถึงความหลุดพ้น

ระดับต่างๆ แต่ ใน 7 ข้อ ไม่ใช่ การถึงพระนิพพาน แต่ข้อที่ 8 เป็นการแสดงถึง

การเข้าถึงพระนิพพาน ครับ

ซึ่งพระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่ไม่เกิด และ ไม่ดับการจะถึงพระนิพพาน

ก็ด้วยปัญญาระดับสูงที่เป็นโลกุตตระ ซึ่งจะต้องหลุดพ้นจากสภาพธรรมที่เป็นนิมิต

ที่เป็นสังขารธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป เมื่อหลุดพ้น ย่อมถึง วิโมกข์ ความหลุดพ้น

ถึงพระนิพพาน ครับ

สรุปได้ว่า โมกขะ ที่เป็นความหลุดพ้น บางนัย แสดงถึง พระนิพพาน บางนัย

ไม่ได้แสดงถึงพระนิพพาน ครับ

แต่อย่างไรก็ดี กว่าจะถึงการหลุดพ้นสูงสุด คือ พระนิพพาน ก็จะต้องเริ่มจาก

อบรมปัญญาขั้นการฟัง เริ่มจากการหลุดพ้นในขณะนี้ทีละเล็กละน้อย คือ หลุด

พ้นจากความไม่รู้ ขณะที่เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น และ หลุดพ้นจากกิเลส ชั่วขณะด้วย

การเจริญกุศลทุกๆ ประการเท่าที่ทำได้ การหลุดพ้นทีละเล็กละน้อยนี้ ย่อมจะถึง

การหลุดพ้นดับกิเลส ถึงพระนิพพานได้ ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
natural
วันที่ 12 ส.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 13 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา นำมาซึ่งประโยชน์

คือ เพื่อสภาพธรรมที่เป็นกุศลเจริญขึ้น เพราะกุศลนำมาซึ่งประโยชน์ทั้งปวง ไม่เคย

นำความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้เลย ผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม จึงมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา น้อมไปในกุศลแต่ละอย่างๆ ประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา คือ เพื่อพ้นจากทุกข์ ไม่เกิดอีกซึ่งเป็นการดับกิเลสทั้งหลาย มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

เพราะฉะนั้น พระธรรมคำสอนทั้งหมด ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใดก็ตาม ก็เพื่อประโยชน์สูงสุด คือ หลุดพ้นจากกิเลส ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน พ้นจากทุกข์

โดยประการทั้งปวง, หนทางแห่งการหลุดพ้นจากกิเลสนั้น มีอยู่แล้ว คือ การอบรม

เจริญปัญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่การจะดำเนินไปตามทางดังกล่าวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่

กับบุคคลแต่ละคนจริงๆ ถ้าดำเนินตามหนทางที่ถูกต้อง โอกาสแห่งการพ้นจาก

ทุกข์ทั้งปวง ก็ย่อมจะมีได้ ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการอบรมเจริญ

ปัญญาต่อไป โดยเห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม และไม่ขาดการฟังพระธรรม

นั่นเอง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 13 ส.ค. 2556

โมกขธรรม คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
natural
วันที่ 14 ส.ค. 2556

ขอบพระคุณทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 30 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ