ของขวัญของแม่คือลูกไม่แพ้ความชั่ว
เนื่องในวันแม่ ขอตอบแทนพระคุณแม่ ด้วยการทำดี ของขวัญของแม่คือลูกไม่แพ้ความชั่ว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การตอบแทนพระคุณของบิดา มารดา ก็มีหลากหลายนัย ทั้งการดูแล เลี้ยงดูทำกิจหน้าที่อันสมควรกับมารดา บิดา หากแต่ว่าการจะมอบสิ่งที่ดี และคุณพ่อคุณแม่ จะได้รับการยกย่องจากผู้อื่นรวมทั้ง คุณพ่อ คุณแม่มีความสุขก็คงไม่เท่าบุตรเป็นคนดี เพราะ อาศัยความดีของบุตร บิดา มารดา ย่อมได้รับการยกย่องจากผู้คนรอบข้าง และย่อมทำให้ บิดา มารดา เบาใจ มีความสุขใจ ในความเป็นคนดีของบุตร ที่เป็นคนดี
การให้ของขวัญ ซึ่งของขวัญโดยมาก ก็หมายถึง สิ่งที่ดีๆ ที่เราจะมอบให้กับใครสักคนหนึ่ง หากเป็นเพียง สิ่งของ ที่มอบให้ ก็เพียงชั่วคราว ไม่คงทน และไม่สะสมต่อไปในจิตใจของบุคคลนั้น หากแต่การมอบสิ่งที่ดี คือ มอบคุณความดี ให้รับรู้ เป็นคนดี ย่อมนำแต่สิ่งที่ดี ให้กับคนที่อยู่ใกล้ คือ บิดา มารดา เพราะเมื่อบุตรเป็นคนดี ก็ทำสิ่งที่ดีๆ มอบของขวัญ คือ การทำความดีให้กับบิดา มารดา ทุกๆ วัน ไม่ใช่เพียงวันใด วันหนึ่ง ดังนั้น คำว่า ไม่แพ้ความชั่ว คือ การชนะกิเลส ซึ่งขณะที่ชนะกิเลส โดยนัยเบื้องต้นก็คือ ขณะที่กุศลจิตเกิด กุศลจิตเกิด ขณะใด กาย วาจาและใจ ก็ดีตามจิตนั้น ย่อมมอบของขวัญ มอบสิ่งที่ดีๆ ให้กับคนที่อยู่ใกล้ คือ มารดา บิดา ที่จะได้รับสิ่งที่ดีๆ ต่อบุตร ทั้งกาย วาจา ใจที่ดี และ เป็นคนกตัญญู เพราะความกตัญญู ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่เป็น กุศลธรรม และ ความดีที่เกิดขึ้น ย่อมจะคงทน ประเสริฐกว่าสิ่งของ ที่ไม่สามารถจะทำให้คนอื่น ชื่นใจ และได้รับสิ่งที่ดีๆ ต่อไปในวันอื่นๆ และบิดา มารดา ย่อมปรารถนาให้บุตร มีความสุขมากกว่าตนเอง การเห็นบุตร ชนะความชั่ว คือ เกิดกุศล เป็นคนดี ย่อมยังจิตของมารดา บิดาให้ยินดี อันเป็นการมอบของขวัญที่ประเสริฐที่สุด เพราะ คงไม่มีอะไรที่จะทำให้มารดา บิดา ดีใจที่สุด เท่ากับลูกดี คือเป็นคนดี และ คงไม่มีอะไรที่จะทำให้บิดา มารดา เสียใจที่สุด เท่ากับบุตร เป็นคนไม่ดี แพ้ความชั่ว เกิดอกุศธรรม และทำอกุศลกรรม ครับ
พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรม ประโยชน์คือ เพื่อผู้อื่นคือ เป็นคนดี มีปัญญา มีความเห็นถูก การกตัญญูที่ถูกต้อง ทั้งต่อมารดา บิดา และ ต่อพระพุทธเจ้า คือฟังคำสอน แล้วเกิด กุศลจิต เกิดปัญญา ชนะความชั่วในขณะนั้นชื่อว่า กตัญญูต่อบุพพการีคือ พระพุทธเจ้า และ มารดา บิดา ครับ
และการชนะกิเลส ชนะความชั่วจริงๆ นั้น ก็ต้องด้วยปัญญา อันเกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จนถึง การไม่แพ้ ชนะที่แท้จริง คือ การดับกิเลสจนหมดสิ้นครับ
[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ หน้าที่ ๔๔๘
"ตนนั่นแล บุคคลชนะแล้ว ประเสริฐ ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้ บุคคลชนะแล้ว ไม่ประเสริฐเลย (เพราะ) เมื่อบุรุษฝึกตนแล้ว ประพฤติสำรวมเป็นนิตย์ เทวดา คนธรรพ์ มาร พร้อมทั้งพรหม พึงทำความชนะของสัตว์เห็นปานนั้น ให้กลับแพ้ไม่ได้เลย"
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑หน้า ๔๒๔
"ความชนะใด กลับแพ้ได้ ความชนะนั้น มิใช่ความชนะที่ดี (ส่วน) ความชนะใด ไม่กลับแพ้ ความชนะนั้นแล เป็นความชนะที่ดี"
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความดีเป็นความดี ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ก็เป็นความดี ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น หน้าที่สำคัญของผู้ที่เป็นมารดาบิดา คือ อบรมพร่ำสอนให้ลูกเป็นคนดี ให้ตั้งอยู่ในคุณความดี ละเว้นจากความชั่ว ซึ่งเมื่อบุตรธิดาได้น้อมประพฤติแล้ว ก็เป็นการสะสมในสิ่งที่ดี เมื่อความดีเกิดขึ้น ก็ควรค่าแก่การชื่นชมยินดี ไม่ได้จำกัดเฉพาะลูกของตนเท่านั้น แม้จะเป็นคนอื่น ที่ได้ทำความดี ก็ควรที่จะได้ชื่มชมยินดี
ตามความเป็นจริงแล้ว ในขณะที่ความดีเกิดขึ้นนั้น ก็ชนะความไม่ดี ชั่วขณะที่ความดีเกิดขึ้นเป็นไป แต่ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ก็ยังไม่ใช่การชนะอย่างเด็ดขาด เพราะยังมีเหตุที่จะทำให้อกุศลเกิดขึ้นเป็นไปได้ ซึ่งจะต้องเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตประจำวัน ไม่ประมาทอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย และไม่ประมาทในการเจริญกุศล แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม เพราะถ้ากุศลไม่เกิด ก็เป็นโอกาสที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นเป็นไป
ประโยชน์ที่ควรจะได้พิจารณาคือ ผู้ที่มีความชื่นชมในคุณความดี จึงทำดี สะสมความดียิ่งขึ้น ไม่ละเลยโอกาสของการที่จะได้เจริญกุศล แต่ที่มีการไปทำความชั่วประการต่างๆ ก็เพราะว่า ไม่เห็นคุณของความดี นั่นเอง ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ