มีชีวิตชั่วขณะจิตและสติปัฏฐานมีความสัมพันธ์กันหรือไม่

 
papon
วันที่  13 ส.ค. 2556
หมายเลข  23374
อ่าน  1,007

มีชีวิตชั่วขณะจิตและสติปัฏฐานมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ครับ

ขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิต ก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก แต่ละขณะซึ่งเมื่อจิต เจตสิกเกิดขึ้นแล้วก็

ดับไป จึงชื่อว่าชีวิตเป็นเพียงชั่วขณะจิตเท่านั้น

ส่วนสติปัฏฐาน คือ การอบรมปัญญาที่รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ว่าเป็นแต่

เพียงธรรมไม่ใช่เรา ที่เป็นหนทางการละกิเลส

สำหรับคำถามที่ว่า ชีวิตชั่วขณะจิต และ สติปัฏฐาน มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรนั้น

ซึ่งก็เป็นเรื่องละเอียดมาก

ซึ่งสติปัฏฐานที่เกิดขึ้น ก็ไม่พ้นจากการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกที่เป็นไป คือเป็นกุศล

จิต ที่ประกอบด้วย เจตสิกที่ดี มี ปัญญาเจตสิก สติ เจตสิกเป็นต้น ดังนั้นแม้สติปัฏฐาน

ก็เป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ดังนั้นเมื่อเป็นกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญาเกิดขึ้น

ก็ดับไป ชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นที่เกิดปัญญา เกิดสติปัฏฐานจึงกล่าวได้ว่า สติปัฏฐาน

เป็นชีวิตที่ชั่วขณะจิตเดียวที่เกิดขึ้นและดับไป แต่ เป็นขณะจิตเดียวที่ประเสริฐ

เป็นสมัย ที่ประเสริฐ เป็นเวลาที่ประเสริฐ

สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ขณะที่ประเสริฐ คือ ขณะจิตที่เกิดปัญญารู้ความจริง

ขณะที่ไม่ประเสริฐ คือ ขณะที่เกิดอกุศล ไม่รู้ความจริง จึงสามารถกล่าวเชื่อมโยง

ระหว่าง ชีวิตที่เป็นขณะจิตเดียว กับ สติปัฏฐานได้ว่า แม้สติปัฏฐาน ก็เป็นชีวิตที่เป็น

ชั่วขณะจิตเดียว แต่ เป็นช่วงชีวิต ขณะชีวิตที่ประเสริฐ เพราะ เกิดปัญญาที่จะสามารถ

ละกิเลสได้ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาประเสริฐ

พระพุทธดำรัสคำนี้ ก็เป็นการแทน ความหมาย คำถามที่ว่า ชีวิตชั่วขณะจิต กับ

สติปัฏฐานเกี่ยวข้องกันอย่างไร

เพราะการมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ประเสริฐ คือ ชีวิตที่เป็นขณะจิตเดียว คือ เกิด

กุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา ขณะนั้นเป็นชีวิตที่ประเสริฐ ขณะที่สติปัฏฐานรู้ความจริง

ของสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เป็นชีวิตที่ประเสริฐ แม้จะเพียง

ชั่วขณะจิตก็ตาม ครับ

และอีกนัยหนึ่ง ความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ของ สติปัฏฐาน และ ชีวิตชั่วขณะจิต คือ

การรู้ความจริงที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน แม้ตัวสติปัฏฐานก็เกิด เพียงชั่วขณะจิต และ

ขณะที่รู้ความจริงก็ชั่วขณะจิต และ ขณะที่ระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมก็ต้องเป็นปัจจุบัน

ขณะ เพียงชั่วขณะจิตเท่านั้น ไม่ใชการรู้เป็นเรื่องราวยาวๆ หลายขณะจิต แต่กำลังรู้

ตรงลักษณะ มีสภาพธรรมปรากฎให้รู้ ขณะนั้น รู้ปัจจุบันที่เป็นเพียงชั่วขณะจิตเท่านั้น

ครับ

การใช้ชีวิตก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิกที่ดำเนินไปตามการสะสม ที่ไม่เหมือนกัน

หากแต่ว่า เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้เกิดชีวิต คือ ขณะจิตที่เข้าใจพระธรรม

ไม่เกิด ปัญญา แม้จะมีอายุยืนยาว ก็เปล่าประโยชน์ เพราะไม่ได้ใช้ชีวิต คือ เกิดจิตที่

เข้าใจความจริง หากแต่ว่าแม้จะอายุไม่มาก ไม่ยืนยาวแต่เกิดชีวิต คือจิตที่ดีงามที่เกิด

พร้อมปัญญา มีความเข้าใจพระธรรม ชีวิตนั้นก็ประเสริฐแล้ว ประเสริฐชั่วขณะนั้น ที่

เกิด จิตที่มีปัญญา เข้าใจพระธรรม ครับ

ไม่ควรประมาทในความเข้าใจ ปัญญาพียงเล็กน้อย จากการอ่าน การฟัง เพราะ

เป็นชั่วขณะจิตที่ประเสริฐ ช่วงชีวิตที่ประเสริฐแล้ว เพราะเป็นการก้าวเดินไปทีละน้อย

อย่างถูกต้อง ถูกทาง ย่อมจะถึงจุดหมายได้ อันอาศัย การเข้าใจธรมทีละน้อยนั่นเอง

ครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 14 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตก็คือความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตแต่ละขณะ ทีละขณะ จะไม่มีจิตเกิดพร้อม

กัน ๒-๓ ขณะ จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้นต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใดใน ๔ ชาติ

คือ กุศล อกุศล วิบาก และกิริยา โดยไม่ปะปนกัน ชีวิตประจำวันก็เป็นธรรม จะรู้

หรือไม่รู้ก็ตาม ความจริงเป็นอย่างนี้ อกุศลเกิดขึ้นเป็นไปมาก เพราะสะสมมาอย่าง

เหนียวแน่นและเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ขณะที่เป็นกุศลจึงมีน้อยมากถ้าเทียบกับขณะ

ที่เป็นอกุศล แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า กุศล แม้จะเล็กน้อย ก็มีค่า เพราะถ้ากุศลไม่เกิดก็เป็น

โอกาสของอกุศลที่จะเกิดขึ้น ซึ่งก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของจิตในชีวิตประจำวันนี้

เอง แม้จะยังไม่ถึงกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นไปในการระลึกรู้ลักษณะของ

สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ตาม แต่ถ้าเป็นผู้ไม่ประมาทในการฟังในสิ่งที่มีจริง

บ่อยๆ เนืองๆ เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็จะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดได้ ซึ่งก็คือความ

เกิดขึ้นเป็นไปของจิตนั่นเอง ซึ่งถ้าไม่มีขณะจิต ที่เป็นไปกับการฟังพระธรรมศึกษา

พระธรรมซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญแล้ว ไม่สามารถจะไปถึงปัญญาขั้นสูงขึ้นไปได้เลย

ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง

ซึ่งก็แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นอนัตตาอย่างแท้จริง

ชีวิตสั้นแสนสั้นมาก ในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งไม่

สามารถรู้ได้ว่าจะเป็นเมื่อใด เพราะฉะนั้นโอกาสที่สำคัญที่มีค่าเป็นอย่างยิ่ง ในขณะ

ที่ยังไม่ตายคือ โอกาสที่ได้สะสมความดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 14 ส.ค. 2556

ให้รู้ว่าทุกอย่างเกิดดับ รวดเร็ว ในพระไตรปิฎก อุปมาว่า นามธรรม รูปธรรมเกิดดับ

รวดเร็วยิ่งกว่ากระพริบตา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พระทองสุข
วันที่ 14 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
papon
วันที่ 14 ส.ค. 2556

ขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองที่ให้ปัญญาและขออนุโมทนาครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 15 ส.ค. 2556

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 16 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 18 ส.ค. 2556

ขอกราบอนุโมทนาคะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ