เทวดาเล่นกีฬา

 
lovedhamma
วันที่  19 ส.ค. 2556
หมายเลข  23405
อ่าน  2,074

เทวดา ยังมีความยินดีในการละเล่นต่างๆ เล่นกีฬา หรือไม่ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในความเป็นจริง คำว่า กีฬา ในภาษาไทย เรามักหมายถึง การเล่นกีฬาที่เป็นการวิ่ง การเล่นฟุตบอล การเล่นประเภทต่างๆ ที่มีการแข่งขัน เป็นต้น เป็นกีฬา แต่ในความเป็นจริง กีฬา ในภาษาบาลี ก็หมายถึง การละเล่น ซึ่งเป็นการละเล่นอะไรก็ได้ ก็ชื่อว่า กีฬา เล่นสนุกต่างๆ เก็บดอกไม้ เล่นทั่วๆ ไป ก็เรียกว่า กีฬาแล้ว โดยไม่ได้หมายถึง จะต้องเป็นการละเล่นอย่างชาวโลก เท่านั้นที่จะเป็นกีฬา ครับ การเล่น การบันเทิงสนุกของเทวดาทั้งหลาย ก็ชื่อว่า กีฬา

[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ หน้าที่ ๔๐

พวกเทวดาเข้าสู่เทวสภาแล้วนั่งอยู่ เกลียวละอองดอกไม้ฟุ้งไปจรดฝักเบื้องบน แล้วตกมาทำให้อัตภาพประมาณสามคาวุตของเทวดาทั้งหลาย เหมือนชโลมด้วยน้ำครั่ง พวกเทวดาเหล่านั้นเล่นกีฬานั้นสี่เดือนจึงสิ้นสุดลง พวกเทวดาย่อมประชุมกัน เพื่อประโยชน์แก่การเสวย ปาริฉัตรตกกีฬาด้วยประการฉะนี้

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ ๖๙

ข้อที่เทวดาทั้งหลาย เล่นกีฬามีการปรบมือ เป็นต้น ที่ประตูวิมาน เป็นบุพนิมิตแห่งการที่พระมหาสัตว์บรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงเปล่งอุทาน

แต่ถ้าละเอียดลงไป จะเจอคำว่า สาธุกีฬา ที่เป็นการละเล่น อีกนัยหนึ่งที่เป็นการละเล่นที่สมควร ซึ่งคำว่า สาธุกีฬา มาจากคำว่า สาธุ ซึ่งแปลว่า ดี หรือว่าเป็นสิ่งที่ดีงามรวมกับคำว่า กีฬา ซึ่งก็หมายถึง การละเล่น เมื่อแปลรวมกัน หมายถึงการละเล่นที่ดี ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎก หรือว่าจากอรรถกถาก็ดี มีแสดงไว้มากมาย หลายที่เป็นการละเล่น ที่เป็นไปเพื่อบูชาบุคคลที่ควรแก่การบูชาสูงสุดเลย คือพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนถึง แม้การปรินิพพานของพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีการละเล่นที่ว่า สาธุกีฬา หรือบุคคลที่เป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ เวลาที่สิ้นพระชนม์ ก็จะมีการละเล่น ที่เรียกว่า สาธุกีฬาที่เป็นข้อความที่แสดงถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม เป็นต้น หรือเป็นการละเล่นที่บูชา บุคคลที่ควรแก่การบูชา เพราะฉะนั้น ที่เป็นสาธุกีฬา จะต้องเป็นการละเล่นที่เป็นไปกับด้วยประโยชน์ เป็นไปกับด้วยสาระ ได้ข้อคิดดีๆ จากการละเล่นดังกล่าว

[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ ๗๖

ครั้งนั้น พุทธบริษัทได้บูชาพระพุทธสรีระซึ่งมีสีเหมือนทอง ด้วยของหอม และดอกไม้เป็นต้นตลอด ๗ วัน วันสาธุกีฬา ได้มีเป็นเวลา ๗ วันเหมือนกัน ต่อจากนั้นไฟที่จิตกาธารยังไม่ดับตลอด ๗ วัน

[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ หน้าที่ ๔๖๔

ทรงให้ล้อมพระบรมธาตุที่บรรจุไว้ในรางทองคำ ด้วยลูกกรงหอก ให้ผู้คนชุมนุมกันเป็นปริมณฑล ๕๐๐ โยชน์ ในแคว้นของพระองค์ ผู้คนเหล่านั้นรับพระบรมธาตุ เล่นสาธุกีฬา ออกจากกรุงกุสินารา พบเห็นดอกไม้มีสีดั่งทองคำในที่ใดๆ ก็เก็บดอกไม้เหล่านั้นในที่นั้นๆ บูชาพระบรมธาตุในระหว่างทาง เวลาดอกไม้เหล่านั้นหมดแล้วก็เดินต่อไป เมื่อถึงฐานแอกแห่งรถในคันหลัง ก็พากันเล่น สาธุกีฬา แห่งละ ๗ วันๆ เมื่อผู้คนรับพระบรมธาตุมากันด้วยอาการอย่างนี้ เวลาก็ล่วงไป ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน

การเล่นกีฬาทั้งหลาย ก็มีทั้งเพื่อความบันเทิง สนุกสนานอย่างเดียว อันไม่ประกอบด้วยประโยชน์ คือ ความเจริญขึ้นของกุศลธรรม และการละเล่นของเทวดาที่เป็น กีฬา ที่เรียกว่า สาธุกีฬา ที่เป็นการละเล่น แม้จะมีอกุศล แต่ ก็มีการเจริญขึ้นของกุศลธรรมด้วย เช่น การละเล่น ที่กล่าวธรรม อันแสดงถึงเนื้อหา ถึงธรรม มีความไม่เที่ยง เป็นต้น ครับ

ชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดา และ มนุษย์ก็ยังมีกิเลสเป็นธรรมดา ชีวิตก็เป็นไปตามการสะสม ที่เกิดกิเลส ก็มีการละเล่น มีการสนุก บันเทิง ตามอำนาจของกิเลส หากแต่ว่า การเจริญอบรมปัญญา คือ การเข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ในชีวิตที่เป็นปกติ แม้อกุศลที่เกิดขึ้นว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ก็เป็นผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐาน แม้จะมีชีวิตอย่างไร ก็สามารถอบรมปัญญาได้ ขอเพียงมีความเข้าใจถูกเป็นสำคัญ ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 19 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เพราะยังมีกิเลสอยู่ จึงทำให้มีการท่องเทียววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ แต่ละคนแต่ละท่านก็มีความประพฤติตามที่เป็นไป เป็นไปกับด้วยอกุศล บ้าง กุศล บ้างซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ทั้งสิ้น การเกิดเป็นเทวดา เป็นผลของกุศลกรรม เมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็เป็นธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไป การละเล่น ก็เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใดที่มีความเข้าใจในธรรม ก็จะมีการสอดแทรกข้อคิดที่เป็นธรรมเข้าไปในการละเล่นนั้นๆ ด้วย ทำให้การละเล่นดังกล่าว เป็นการละเล่นที่เป็นประโยชน์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อพอกพูนกิเลสให้มากขึ้น แต่โดยปกติทั่วไปแล้ว การละเล่นก็ยากที่จะพ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศลธรรม ไม่ว่าจะเป็น คน เล่น หรือ เทวดาเล่น ก็ตาม ครับ

ประโยชน์ที่ควรจะได้จากตรงนี้ ก็คือ เข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามการะสมของแต่ละบุคคล ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 19 ส.ค. 2556

เทวดา ก็ยังมีโลภะเหมือนปุถุชน ยังมีความยินดีในเสียงดนตรี ในการละเล่นต่างๆ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Rodngoen
วันที่ 27 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 30 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ