ทำอย่างไรจะเกิดมาเป็นคนอีกครับ ?

 
วิศวกรสนใจธรรม
วันที่  22 ส.ค. 2556
หมายเลข  23419
อ่าน  4,075

กระผมได้ศึกษาพระอภิธรรมในเรื่องนี้มาก่อนหน้านี้มาพอสมควร แต่ยังหาคำอธิบาย

ไม่ได้ว่าความคิดตัวเองจะถูกหรือเปล่า

สมมติเรากำลังทำอะไรสักอย่างในชาตินี้แต่ยังไม่เสร็จ หมายความว่าอาจเกิดโรคร้าย

ที่ทำให้เราต้องเสียชีวิตไปในเวลาอันใกล้ แต่เราต้องการที่จะกลับมาทำต่อให้เสร็จ

มันมีวิธีที่จะให้กลับมาเกิดเป็นคนได้อีก และทำงานต่อให้เสร็จได้หรือเปล่าครับ?

ปฏิจจสมุปบาท สามารถอธิบาย การเกิดของคนเรา ได้อย่างไรครับ? (สิ่งที่อยู่ใน

ครรภ์มารดาเกิดมาจากวงจรปฏิจจสมุปบาทหรือเปล่าครับ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 22 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก ย่อมสิ้นสุดความ

เป็นบุคคลนี้ทันทีที่จุติจิตเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ตายแล้วก็เกิด

ทันที สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด เพราะถ้าเป็น

ผลของอกุศลกรรมก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์นรก เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน

เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ตามควรแก่กรรม แต่ถ้าเป็นผล

ของกุศลกรรมแล้ว ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิเท่านั้น เกิดเป็นมนุษย์ หรือ เกิดเป็นเทวดา

ทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

แต่ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่ง ว่า จะเป็นผู้ประมาทในชีวิตประจำวันไม่ได้เลยทีเดียว

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ว่า

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ กลับมาเกิดในมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย

สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย

(เปรต) มีมากกว่าโดยแท้”

เพราะเหตุที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิ คือ อกุศลกรรม อาศัยความประมาทเพียง

นิดเดียวก็อาจจะนำพาเราไปสู่ที่ต่ำคืออบายภูมิได้โดยง่ายทีเดียว อบายภูมิ เป็นภูมิ

ที่ไปได้โดยง่ายมาก อย่าคิดว่าจะไม่ไป เพราะบุคคลที่ไม่ไปเกิดในอบายภูมิอีกเลย

ก็คือ พระอริยบุคคลขั้น พระโสดาบันบุคคล ขึ้นไป

สำหรับการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกุศลกรรม อย่างเช่นในชาตินี้ ได้เกิดมา

เป็นมนุษย์แล้ว เป็นการได้ที่ได้ยากแสนยาก

สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิตทุกชีวิต ก็คือ ความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

คือ ความเข้าใจพระธรรม อันเกิดจากการมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งไม่ง่ายที่จะได้ฟัง และไม่ง่ายที่จะเข้าใจ จะต้อง

อาศัยความอดทน ความเพียร ความจริงใจ ในการฟัง การศึกษาอย่างแท้จริง และที่

สำคัญ ความดีทุกอย่างจะเจริญขึ้น เมื่อมีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น

-การเกิดท่องเที่ยววนเวียนไปในวัฏฏะนั้น ก็ไม่พ้นไปจากธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป

ตามเหตุปัจจัย อาศัยกันและกันเกิดขึ้น จะใส่ชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาท หรือไม่ใส่ชื่อก็

ตาม ความเป็นจริงของสภาพธรรม ไม่เคยเปลี่ยน เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น

แม้แต่ที่กล่าวถึงการเกิดของคนเรา เหตุจริงๆ มาจากอวิชชา ความไม่รู้ เมื่อมีความ

ไม่รู้เป็นปัจจัย เป็นพื้นอยู่ ก็ย่อมเป็นเหตุให้มีการกระทำที่เป็นบุญบ้าง เป็นบาปบ้าง

กรรมที่เป็นบุญ คือ กุศลกรรม ที่ทำแล้วในอดีต ให้ผล จึงทำให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

จิตขณะแรกในภพนี้ คือ ปฏิสนธิจิต (วิญญาณ) ก็เป็นเหตุให้เกิดนามรูป คือ เจตสิกที่

เกิดร่วมกับปฏิสนธิจิต และ รูปที่เกิดจากกรรม ๓ กลุ่มที่เกิดพร้อมกันในขณะนั้น คือ

กลุ่มของกายปสาทรูป กลุ่มของภาวรูป และกลุ่มของหทยรูป และสืบเนื่องมาจาก

จิตขณะแรกนี้เอง จึงให้เกิดสภาพธรรมต่างๆ มากมาย จนถึงขณะนี้ และยังจะต้อง

เกิดขึ้นเป็นไปต่อไป กล่าวได้ว่า แม้ขณะนี้ ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท นั่นเอง ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

อยากทราบเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ครับผม

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 22 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สมมติเรากำลังทำอะไรสักอย่างในชาตินี้แต่ยังไม่เสร็จ หมายความว่าอาจเกิดโรคร้าย

ที่ทำให้เราต้องเสียชีวิตไปในเวลาอันใกล้ แต่เราต้องการที่จะกลับมาทำต่อให้เสร็จ

มันมีวิธีที่จะให้กลับมาเกิดเป็นคนได้อีกและทำงานต่อให้เสร็จได้หรือเปล่าครับ?

- ความตาย ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดในเวลาไหน อย่างไร และ เกิดกับใครได้เลย

เพราะ ด้วยอำนาจของกรรม ที่มีเหตุปัจจัยพร้อมก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา เช่นเดียว

กับการเกิด ก็ไม่มีใครที่จะรู้ว่าเกิดตอนไหน เพราะ การเกิด และ การตาย ก็ใกล้

เพียงชั่วขณะจิต เมื่อตายเกิดขึ้น ก็เกิดต่อทันที ดังนั้น เราไม่รู้ว่าจะตายเมือ่ไหร่ก็

ไม่รู้อีกเช่นกัน ว่าจะเกิดเมื่อไหร่เช่นกัน เพราะ ห่างกันเพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น

และ อีกประการหนึ่ง การไม่รู้ว่าการเกิด การตาย ไม่รู้ว่าจะเมื่อไหร่ การไม่รู้อีก

ประการหนึ่ง คือ การจะไปเกิดเป็นอะไร ก็ไม่สามารถรู้ได้ เพราะ การเกิด ก็คือผล

ของกรรม ที่เกิดจากรรมใดกรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ที่ทำมามากมายนับไม่ถ้วน

ดังนั้น ก็อาจเป็นกรรมใดกรรมหนึ่งที่จะเป็นปัจจัยให้เกิด เป็นมนุษย์ การเกิด

เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นเทวดาก็ได้ ครับ ตามแต่กรรมใดที่จะให้ผล ซึ่งพระพุทธเจ้า

ทรงแสดงไว้ว่า การเกิดของสัตว์โลก ไม่แน่นอนเลย เปรียบเหมือนการโดยท่อนไม้

ไปบนอากาศ บางคราว ตรงปลายด้านซ้ายก็ตกลงมา บางคราวปลายด้านขวาก็

ตกลงมา บางคราว ตรงกลางก็ตกลงมาถึงพื้นก่อน นี่คือ ความไม่แน่นอน แม้แต่

รูปธรรม จะกล่าวไปใยถึงนามธรรม ที่เป็นผลของกรรม ที่เป็นปฏิสนธิที่ไม่มีใคร

เลือกได้ว่าจะเป็นมนุษย์หรือไม่ หากแต่ว่า การทำการงานให้เสร็จ หรือไม่เสร็จใน

ทางการงานของโลก เป็นการงานที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะเป็นการงานที่ทำด้วยโลภะ

และเป็นปัจจัย ที่ทำให้มีการเกิดไม่มีจบสิ้น แม้จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังต้อง

ทำงานต่อไปไม่มีการจบ เพราะ ในความเป็นจริง เพียงแค่มีการเกิดขึ้นของชีวิต

ก็มีการทำการงานแล้ว แต่เป็นการทำงานของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ดังนั้น

ชีวิตก็มีการทำงานของตลอดเวลา อันนำมาซึ่งทุกข์ และการงานทางโลก การห่วง

ว่ายังไม่เสร็จ ก็นำมาซึ่งทุกข์ อันมีต้นเหตุ คือ กิเลสเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น คงไม่

ต้องรอให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกที่จะต้องมาทำงานทางโลกที่นำมาซึ่งทุกข์ แต่

ขณะปัจจุบันนี้ ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ควรทำการงานที่ประเสริฐ คือ การงานที่จะ

ทำให้ออกไปจากทุกข์ คือ งานที่เป็นการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่งเป็น

การงานที่ไม่มีโทษ ไม่มีความห่วงกังวล และ เป็นการงานที่มีจุดสิ้นสุด ครับ

[๔๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่อนไม้ที่บุคคลโยนขึ้นบนอากาศ บางคราวก็ตกลงทาง

โคน บางคราวก็ตกลงทางขวาง บางคราวก็ตกลงทางปลาย แม้ฉันใดสัตว์ทั้งหลาย

ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ก็ฉันนั้น

แล บางคราวก็จากโลกนี้ไปสู่ปรโลก บางคราวก็จากปรโลกมาสู่โลกนี้ ข้อนั้น

เพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพื่อ

จะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ

-----------------------------------------------------

ปฏิจจสมุปบาท สามารถอธิบาย การเกิดของคนเรา ได้อย่างไรครับ? (สิ่งที่อยู่ใน

ครรภ์มารดาเกิดมาจากวงจรปฏิจจสมุปบาทหรือเปล่าครับ)

ปฏิจจสมุปบาท คือ ความเป็นไปของการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิก ที่จะต้องอาศัย

เหตุปัจจัยต่างๆ มากมาย ซึ่ง แม้แต่การเกิดในครรภ์ ก็คือ การเกิดขึ้นของจิต เจตสิก

คือ การเกิดขึ้นปฏิสนธิจิต เพราะฉะนั้น ชีวิตในครรภ์ เริ่มเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น พร้อม

กับรูปเล็กๆ มากๆ อันอาศัยกรรม ดังนั้น วงจรปฏิจจสมุปบาท ก็เริ่มจากเพราะ อาศัย

ความไม่รู้ อวิชชา เป็นปัจจัยให้มีการทำกรรม ที่เป็น สังขาร แลเมื่อกรรมให้ผล ก็เป็น

ปัจจัยให้มีการเกิด ที่เรียกว่า ปฏิสนธิจิตครับ และเมื่อมีการเกิด ก็นำมาซึ่งทุกข์ประการ

ต่างๆ และก็ทำกรรม และ เกิดอีก ทุกข์ เป็นอย่างนี้ ร่ำไป ดังนั้น แม้การเกิด ในครรภ์

ก็ไม่พ้นจากปฏิจจสมุปบาท เพราะ เป็นการเกิดขึ้นของ จิต เจตสิกที่อาศัยเหตุปัจจัย

คือ กรรม และ อวิชชา ครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
daris
วันที่ 22 ส.ค. 2556

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 23 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 23 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 23 ส.ค. 2556

กราบขอบพระคุณท่านวิทยากรทั้งสองท่าน เข้าใจชัดเจน เป็นประโยชน์มากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nopwong
วันที่ 24 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
นี่นะใหญ่สุดแล้ว
วันที่ 25 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ