ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ อาคารพัฒน์ธนะ บุญชู ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๖

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  27 ส.ค. 2556
หมายเลข  23450
อ่าน  3,522

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันอังคาร ที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณประสาร และ คุณ รัชนีวรรณ บุญชู เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ อาคารพัฒน์ธนะ บุญชู ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๒ หน้าโรงเรียนบดินทร์เดชา ๒ (สิงห์ สิงหเสนีย์) ซอยนวมินทร์ ๗๒ ถนนนวมินทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร

เมื่อเดินทางไปถึง ก็ได้พบกับพี่ประสาร ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักเมื่อครั้งไปอินเดียครั้งแรก เดือนตุลาคม ปี ๒๕๕๒ พี่ประสาร ท่านนี้เอง ที่เป็นผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเงินให้ทางมูลนิธิฯ จัดซื้อผ้าเป็นพับใหญ่ๆ นำไปถวายห่มคลุมพระสถูปและเจดีย์ ตามสังเวชนียสถานต่างๆ ทั้งที่ในอินเดียและศรีลังกา ทุกครั้ง ที่ทางมูลนิธิฯ เดินทางไปเจริญกุศล ซึ่งข้าพเจ้า นึกอนุโมทนาในใจเสมอๆ ทุกครั้ง ที่ได้พบท่าน

อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ทราบจากพี่ประสาร ว่า อาคารหลังนี้ เป็นของลูกชายของท่าน ที่ท่านมาซื้อที่ดินไว้ให้ จำนวนไร่ครึ่ง แล้วปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ และ อาคารพัฒน์ธนะ บุญชู หลังนี้ ซึ่งเพิ่งแล้วเสร็จ และ ได้กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ มาสนทนาธรรม ในวันนี้

ซอยด้านข้างอาคาร ๔ ชั้น ได้ก่อสร้างเป็นอาคารพาณิชย์สองชั้น สำหรับให้เช่าทำการค้า เนื่องจากเป็นทำเลที่ดี อยู่ติดหน้าโรงเรียน บดินทร์เดชา ๒ (สิงห์ สิงหเสนีย์) ภายหลังอาคาร ก็มีที่จอดรถกว้างขวาง ไว้ให้สำหรับผู้ปกครอง ที่พานักเรียนมาเรียนพิเศษ ตัวอาคารพัฒน์ธนะ บุญชู มีทั้งสิ้น ๔ ชั้น ซึ่งท่านเจ้าของอาคาร ได้แบ่งชั้นต่างๆ เป็นสัดส่วน เพื่อเปิดให้เช่า ทำการค้า และ มีพื้นที่ที่จัดไว้เพื่อการสอนพิเศษ ซึ่งเป็นอาชีพที่กำลังเฟื่องฟูมากในปัจจุบัน สำหรับชั้นบนสุด ทำเป็นที่ทำงาน และ ที่พักของท่านเจ้าของอาคาร ซึ่งได้จัดให้เป็นที่สนทนาธรรม ในวันนี้

ท่านเจ้าภาพการสนทนาธรรมครั้งนี้ ฝ่ายหญิง คือ คุณรัชนีวรรณ บุญชู หรือที่ทุกท่านรู้จักกันในนามของ พี่เจี๊ยบ ถ้าท่านที่ได้ไปมูลนิธิฯ ในวันสำคัญๆ ทางพระพุทธศาสนา ที่มีการสนทนาธรรม ท่านจะได้รับประทานปลาทูต้มเค็ม และ น้ำพริกกะปิ พร้อมเครื่องเคียงมากมายจากเจ้าอร่อยที่สุดในสมุทรสงคราม นั่นคือ สิ่งที่พี่เจี๊ยบ นำมาเจริญกุศลด้วยทุกครั้ง

ในครั้งนี้ พี่เจี๊ยบและลูกๆ ได้นำอาหารอร่อยๆ หลายอย่าง จากฝีมือแม่ครัวใหญ่ ชั้นยอด หลายท่านที่เป็นคนต่างจังหวัด (เช่นข้าพเจ้า) จะทราบว่า เวลามีงานบุญต่างๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดในงานอย่างหนึ่ง คือ อาหาร เวลาที่เจ้าภาพจะจัดงานอะไรก็ตาม เจ้าภาพจะให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารเป็นพิเศษ ยิ่งสำหรับงานใหญ่ๆ ด้วยแล้ว แม่ครัวใหญ่ ที่เป็นเหมือนแม่ทัพ (อาหาร) จะต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงที่ชุมชนนั้นยอมรับจริงๆ สมัยเด็ก ป้าๆ ที่เป็นญาติหลายคนของข้าพเจ้าก็เป็นแม่ครัวใหญ่เช่นกัน เมื่อมีงานบุญแถวบ้าน ข้าพเจ้าซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ ก็รู้สึกสนุกไปกับเพื่อนๆ เวลามีงานบุญ เมื่อวิ่งเล่นกันจนเหนื่อย และ หิว ก็ไม่พลาดเลย ที่จะวิ่งไปอาศัยบารมีแม่ครัวใหญ่ได้รับประทานอาหารอร่อยๆ ก่อนใครๆ ทั้งขนมและผลไม้ ซึ่งในยามปรกติ หาทานยาก

คิดดูแล้ว ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า แม้ในปัจจุบัน ข้าพเจ้าก็ยังเป็นผู้ที่ได้รับความเมตตาจากพี่ๆ ที่มูลนิธิฯ อยู่เสมอๆ ในเรื่องอาหารการกิน ซึ่งเป็นอาหารที่ประณีต ชั้นเลิศทั้งสิ้น ข้าพเจ้าไม่เคยลืมที่จะอนุโมทนาพี่ๆ ทุกๆ ท่าน อยู่เสมอ แม้ในขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ คำว่า "แม่ครัวใหญ่" เปรียบเหมือนผู้บัญชาการ ที่สั่งการทุกอย่างในครัว นอกจากจะมีฝีมือในการปรุงอาหารเป็นเลิศ ที่ทุกคนยอมรับนับถือแล้ว แม่ครัวใหญ่ ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจสั่งการ ที่ แม่ครัวน้อย และ ลูกมือทั้งหลายในครัวต้องเชื่อฟังอีกด้วย หาไม่แล้ว งานที่คิดว่าใหญ่โตนั้น อาจถึงความเสื่อมเสียชื่อเสียงของท้านเจ้าของงานได้ เพราะ เรื่องของอาหาร นี่เอง

ที่อารัมภบท มายืดยาว ก็เพื่อเหตุประการหนึ่ง ที่จะขออนุโมทนาถึงกุศลจิต ความเป็นมิตรของพี่ประสาร และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่รัชนีวรรณ หรือ พี่เจี๊ยบ และ ลูกๆ ทุกคน ที่ นอกจากจะมีจิตเกื้อกูลแก่สหายธรรม ให้ได้ฟังพระธรรม ซึ่งเป็นทานอันประเสริฐแล้ว ยังได้มีความละเอียด บรรจงอย่างยิ่ง ที่จะนำอาหารอันเลิศ จากฝีมือแม่ครัวใหญ่ชั้นยอดแห่งสมุทรสงคราม บ้านของท่าน มาให้สหายธรรมทุกๆ ท่าน ได้รับประทานกันในวันนั้น

.........

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 130

เมื่อบุคคลเลื่อมใส โดยความเป็นวัตถุเลิศ รู้ซึ่งธรรมอันเลิศ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้เป็นทักษิไณย ไม่มีใครยิ่งกว่า เลื่อมใสในพระธรรมอันเลิศ อันเป็นที่สิ้นราคะเป็นที่สงบเป็นสุข เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ ผู้เป็นนาบุญ ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ให้ทานในท่านผู้เลิศ บุญอันเลิศ ย่อมเจริญมาก อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุข และ พละอันเลิศ ก็ย่อมเจริญมาก

ผู้มีปัญญา เป็นผู้ให้ของที่เลิศ มั่นคงอยู่ในธรรมอันเลิศแล้ว ผู้นั้นจะเป็นเทวดา หรือเป็นมนุษย์ ก็ย่อมได้รับฐานะอันเลิศบันเทิงใจ.

จบปสาทสูตรที่ ๔

อันดับต่อไป ข้าพเจ้าขออนุญาต นำความการสนทนาธรรมในวันนั้น ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวย้ำ ถึงสิ่งที่มีจริงๆ ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ในทุกๆ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ซึ่งก็คือคำว่า "ธรรมะ" ในภาษาบาลี นั่นเอง แม้จะฟังมามาก จนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ลืมว่า แม้ว่าฟังซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ ทุกคนย่อมรู้ว่า ยากแสนยาก และ ไม่ง่ายเลย ที่จะรู้จริงๆ ว่า ทุกขณะนี้ เป็นธรรมะ สำหรับผู้ที่มีศรัทธาที่มั่นคง ย่อมรู้เพียงว่า ฟังต่อไป เพื่อเข้าใจขึ้น ซึ่งเป็น "หนทางเดียว"

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

พี่อรวรรณ กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพ กราบเรียนท่านเจ้าของบ้านและท่านผู้ร่วมสนทนาทุกๆ ท่าน คือ พอดีนั่งรถแล้วก็ฟังเทป ท่านอาจารย์บอกว่า ในการศึกษาธรรมะ ไม่ได้เริ่มจาก "คำ" เพื่อไปหา ความจริง แต่ให้เริ่มจาก "ความจริง" แล้ว คำนั้น ก็จะอธิบายว่า ความจริง คือ อะไร เหมือนกับว่า ถ้าศึกษาจาก "คำ" แล้วไปหาความจริง ก็อาจจะไป "ติดในคำ" แล้วก็ไม่เจอความจริง ก็จะขอกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า จริงๆ ในรายละเอียดตรงนี้ จะอย่างไรคะ? ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ค่ะ ถ้าเริ่มจากคำว่า "ธรรมะ" เราก็ต้องมานั่งคิด ใช่ไหม? ว่า ธรรมะ คือ อะไร? ธรรมะ อยู่ที่ไหน? แต่ว่า ถ้าเราเริ่ม จากสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ เราต้องไปถามไหม? ว่าคืออะไร? อยู่ที่ไหน? เพราะเรารู้อยู่แล้ว ว่า "เห็น" แต่ว่า เรายังไม่ได้รู้ว่า "เห็น" ที่เราเข้าใจว่า "กำลังเห็น" นี้ "ความลึกซึ้ง" ของ "เห็น" จริง แท้ อย่างไร? จนกว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงแสดง

เพราะฉะนั้น เราไปใช้คำภาษาบาลี ว่าเป็น "ธรรมะ" ก็เราไม่ได้เคยพูดคำนี้ ในชีวิตประจำวันเลย มีใครพูดคำว่า "ธรรมะ" ในชีวิตประจำวันบ้าง? มีแต่ "เห็นไหม?" , "ได้ยิน" ไหม? , "คิด" หรือเปล่า? , เป็นอย่างไร? ซึ่งเป็นภาษาที่ แสดงถึงสิ่งที่กำลังมี ในขณะนั้น

แต่ที่ไม่รู้ ก็คือว่า ไม่รู้ว่า นั่นแหละ เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย ใช่ไหม? ให้เข้าใจ ตามความเป็นจริง ว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏ จริงๆ แต่ไม่รู้ และ ใครรู้? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดงธรรมะให้เรา รู้อะไร? ก็ให้รู้ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ซึ่งไม่มีใคร สามารถที่จะรู้ได้เลย ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม "คิดเอง" ก็คิดไม่ได้ รู้แต่ว่า "กำลังเห็น" เท่านั้น แล้วก็ยังเป็น "เราเห็น" และ เห็นเป็น "สิ่งนั้น สิ่งนี้" อีก

เพราะฉะนั้น "ความไม่รู้" ตั้งแต่ต้น คือ ไม่รู้ว่า "เห็น" เป็น "อะไร?" ก็ตามต่อไป จนกระทั่งถึงว่า แล้ว "สิ่งที่เห็น" เป็น "อะไร?" แล้วก็ยาวไป จนกระทั่งถึงว่า "เรื่องราว" ของสิ่งที่เห็น ใช่ไหม? เช่น เราเห็นดอกไม้นี้ "ชื่ออะไร?" มาแล้ว ยาวไปอีกแล้ว ใช่ไหม? แล้วไปซื้อมาจากไหน? หรือว่า ปลูกที่บ้าน? หรือ ยังไง? ก็ "เป็นเรื่องราว" ยาวไป โดยที่ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เพราะ "เห็นขณะนี้" แล้ว "ไม่รู้ตามความเป็นจริง" , "มีสิ่งที่ปรากฏ" จริงๆ แต่ก็ไม่รู้ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่รู้ทั้งหมด ตั้งแต่เกิด จนตาย ทุกวัน

แต่ว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ธรรมดาอย่างนี้แหละ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง ให้เข้าใจ ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นธรรมดา จะเรียกว่า ธรรมะ หรือไม่เรียก ก็เป็นอยู่แล้ว เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะว่า ธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริง ในภาษาบาลี ใช้คำว่า ธรรมะ เพราะฉะนั้น จะเรียก หรือไม่เรียก ก็ กำลังมีจริงๆ แล้วก็ "ฟังให้เข้าใจ" สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้

พี่อรวรรณ แต่ในความเป็นจริง ปรกติ เราใช้ชีวิตก็อย่างนี้ เห็น ได้ยิน แล้วก็ติดข้องไป แต่เราจะไม่รู้ว่า "เห็น" เป็น "ธรรมะ" ส่วนใหญ่ คนเราจะมีความทุกข์ หรือ มีเหตุอะไรก็แล้วแต่ ถึงจะมาสนใจธรรมะก็เลยกลายเป็นว่า ตั้งต้น ไม่ได้รู้ก่อนว่า "เห็น" หรือ "ได้ยิน" ในขณะนี้ เป็นจริง แล้วก็ไม่ศึกษาว่า ความจริงนี้ ที่เราไม่เคยรู้จัก เขาเป็นอย่างไร? อย่างประเทศไทยนี้ ขอพาดพิงนิดหนึ่งว่า กลายเป็นว่า เริ่มโดยการไปปฏิบัติ โดยที่ไม่ศึกษาว่า พระพุทธเจ้า สอนอะไร? ตรงนี้ก็เหมือนกับว่า พอตั้งต้นผิด ก็ผิดหมดเลย ก็จะขอความกรุณาท่านอาจารย์ว่า ที่ถูก คือ อย่างไร?

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น การฟัง ก็คือ "เพื่อเข้าใจ" จริงๆ แล้วก็ เป็นความเข้าใจ ของตัวเอง ด้วย อย่าง เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ต้องเรียกอะไรเลย ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง แล้วมีผู้ตรัสรู้ และ ทรงแสดง ก็อยู่ที่ ศรัทธา ว่าเราเห็นประโยชน์ ของการเข้าใจไหม? หรือว่า จะอยู่อย่างนี้ไป ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยไม่เข้าใจอะไร ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงเกิด ในโลกนี้ เป็นบุคคลนี้ แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไป แล้วก็ไปเป็นบุคคลอื่น ก็ไม่รู้อะไรเลย ก็อยู่ที่ว่า สิ่งที่มีจริงๆ ทุกวันนี้ น่าเข้าใจยิ่งขึ้น ถึงความจริงแท้ ของทุกสิ่ง ทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น เราจะพูดถึงคำอะไรก็ตามแต่ ให้เข้าใจว่า เรากำลังพูดถึงอะไร? พูดถึง สิ่งที่มีจริงๆ "เดี๋ยวนี้" เพื่อที่จะได้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริง ถ้าคนที่เขาไม่สนใจ ไม่มีศรัทธา เขาก็คิดว่า ไปพูดเรื่องอื่นดีกว่า ใช่ไหม? เรื่องอาหาร เรื่องประโยชน์ เรื่องอะไรก็ตามแต่ การค้า เศรษฐกิจ แต่ว่า ทั้งหมดนี้ จะพ้นไปจาก เห็น ,ได้ยิน ,ได้กลิ่น ,ลิ้มรส , รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ,คิดนึก หรือเปล่า? ทุกวัน มีแค่นี้เอง แต่ก็ไม่เคยรู้

เพราะฉะนั้น ถ้ามี "ผู้รู้" แล้วก็มี พระธรรม คือ คำสอน ที่ทำให้สามารถ พิจารณา เข้าใจได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะสนใจเข้าใจ หรือ ไม่สนใจ เท่านั้นเอง แต่ "สิ่งนี้" ก็ต้องมี ไม่มีไม่ได้เลย เกิดมา ก็มีแล้ว แต่ไม่รู้ความจริงว่า ทำไม มี?

พี่อรวรรณ ท่านอาจารย์คะ นั่นหมายความว่า ถ้าไม่ศึกษา ก็จะไม่มีวันรู้เลยว่า ที่เราคิดว่า "เห็น" เป็น "เราเห็น" หรือว่า "ได้ยิน" เป็น "เราได้ยิน" แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็น "ธรรมะ" ที่เขามี "ลักษณะ" แล้วก็มี "ปัจจัย" ให้เกิด
ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้ว "ศึกษา" ก็ต้องรู้ด้วยว่า เพื่อเข้าใจอะไร? เข้าใจโพธิปักขิยธรรม หรือ เข้าใจปฏิจจสมุปปาท หรือ เข้าใจ อะไร? หรือ "เข้าใจ" สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ทีละเล็ก ทีละน้อย และ "ทุกคำ" ที่เราเข้าใจ "มีอยู่ในพระไตรปิฎก" ทั้งนั้น เป็นอีกภาษาหนึ่ง แต่ว่า มีจริงๆ ซึ่งเราไม่เคยรู้เลย แล้วก็ "ยึดถือ" ว่า เป็นเรา เป็นเขา เป็นโน่น เป็นนี่ เป็นนั่น จนกระทั่ง เดือดร้อนกัน มากมาย

ตอนนี้ ก็รู้จักแล้ว ใช่ไหม? เรากำลังฟัง อะไร? "ฟัง" ให้ เข้าใจ สิ่งที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปเลย ทุกคำ ที่พระผู้มีพระภาคตรัส ทรงแสดงเรื่อง สิ่งที่มีจริงๆ นี้แหละ จนกว่า คนฟังจะเข้าใจ แม้แต่คำเดียว ว่าเป็นธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร แต่มีจริงๆ "กำลังเห็น" มีจริงๆ หมดแล้ว ไม่เห็นแล้ว กลายเป็น "เสียง" กับ "ได้ยิน" มีจริงๆ หมดแล้วอีก กลายเป็น "คิด" มีจริงๆ เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง ในแต่ละวัน เกิดขึ้น เล็กน้อยมาก รวดเร็วมาก แล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก ทั้งนั้นเลย โดยที่ ไม่มีใคร สามารถที่จะรู้ได้

เพราะฉะนั้น การฟัง ไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน ใช่ไหม? หรือ ใครเดือดร้อน เวลาฟัง? แต่ ทำให้ "เริ่มรู้ ความจริง" ว่า ความจริง เป็นอย่างนี้ แน่นอน เกิดมา บังคับไม่ให้เกิดเป็นคนนี้ ก็ไม่ได้ ก็เกิดเป็นคนนี้ เกิดที่นี่ แล้วก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ ประพฤติ ตามที่เป็นไป ทุกคน แต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย มองดูจะนั่ง จะนอน จะยืน จะพูด จะคิด หลากหลายไป เพราะว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ที่เกิด ดับ สืบต่อ ค่ะ

เกิดมาแล้ว ต้องการอะไร? การเข้าใจธรรมะ ก็คือ เข้าใจ ชีวิตประจำวัน ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่า ต้องไปทำอย่างอื่น ต่างหาก แต่ว่า ชีวิตอย่างนี้ ก็ยังไม่ได้เข้าใจเลย เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจ ยังไม่ต้องใช้ "ชื่อ" อะไรทั้งสิ้น เกิดมาแล้ว ต้องการอะไร? ตอบไม่ยากเลย "ต้องการความสุข" ทั้งนั้นเลย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เมื่อวานนี้ ก็ต้องการ วันนี้ ก็ต้องการ ต่อไป ก็ต้องการ พ้น ไหม? พัวพัน หรือเปล่า? ไปไม่รอด (หัวเราะ) ใช่ไหม?

เพราะว่า ตามความเป็นจริง ก็คือ มีความเข้าใจผิด ว่า หนทางสบายๆ หรือว่า เพลิดเพลิน โดยไม่มีปัญญา ก็จะถึงความหมดทุกข์ได้ แต่ว่า ตามความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้เลย อีกทางหนึ่ง ก็เป็นทางที่ คนในอดีต แสวงหาจริงจังเหลือเกิน ทรมานตัว นอนบนหนาม บนตะปู อะไรต่ออะไร สารพัดอย่าง เพราะคิดว่า หนทางนั้น เป็นการทรมานกิเลส ที่เราจะได้ไม่ต้องติดข้อง ในความสะดวกสบาย ในความสุข หวังว่า ทำอย่างนั้นแล้ว ก็จะหมดกิเลสได้ แต่ว่าตามความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่า ไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจถูก จึงมีความติดข้อง จึงมีกิเลสทุกประเภทเลย แต่ถ้า มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ก็ค่อยๆ ละคลาย ความติดข้อง และ กิเลสอื่นๆ ตามควรแก่ปัญญา

เพราะฉะนั้น การที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อะไร? ก็ทรงตรัสรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ได้อย่างไร? อยู่ดีๆ คนอื่นไม่เห็นรู้ แล้วทำไมพระองค์จะตรัสรู้ได้? เพราะว่า การคิด และ การไตร่ตรอง ของพระพุทธเจ้า ต่างกับคนอื่น เรา "เห็น" แล้ว เราไม่ได้คิดเลย เรื่อง "เห็น" ใช่ไหม? อยากเห็น สิ่งโน้น สิ่งนี้ "ได้ยิน" แล้ว เราก็ไม่ได้คิด เรื่อง "ได้ยิน" อยากได้ยิน เสียงนั้น เสียงนี้ ข้าม..ความจริง...ซึ่ง...เกิด... ก่อนที่จะมี "ความติดข้อง" หรือ "ความชอบ ,ไม่ชอบ" ซึ่งเป็นกิเลส ทั้งหลาย

เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่จะได้ถึง ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ความคิด" ของพระโพธิสัตว์ ต้องต่างจากคนอื่น เริ่มตั้งแต่ เกิดมาแล้ว ต้องตาย แค่นี้ ก็หนีไม่พ้นแล้ว ใช่ไหม? แล้ว ใครอยากตาย? ก็อยากอยู่กันทั้งนั้น ใช่ไหม? แต่ สิ่งนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อะไรแน่ !!! ซึ่งกำลังเกิด กำลังตาย??? หรือ แม้แต่ การที่ทุกคน กำลังแสวงหาความสุข แต่ วันหนึ่งๆ ก็มี เดี๋ยวเจ็บไข้ ได้ป่วย อะไรๆ อีกหลายอย่าง ความโกรธ การทะเลาะ วิวาท ทั้งหมดพวกนี้ มาจากไหน? และ ก่อนอื่น คือ...คือ อะไร?...คือ อะไร? นี่ ถ้าเรายังไม่เคยฟังพระธรรม เราคิดไม่ออก

แต่พอมีแนวของความคิด จากการได้ฟังพระธรรม แท้ที่จริง สิ่งใดๆ ก็ตาม ในโลกนี้ ทั้งหมด ก็จะมีความจริง ๒ อย่าง ลักษณะ ที่ต่างกัน ๒ อย่าง เกิดแล้ว เป็นอย่างหนึ่ง อย่างใด คือ เป็น "เสียง" เสียง ก็ต้องเกิด ถ้าไม่เกิด จะมีเสียง ได้อย่างไร? แต่ "เสียง" เกิดแล้ว ดับไป ไม่รู้อะไรเลย เป็นเพียงเสียง "กลิ่น" มีจริงๆ "กลิ่น" ก็เกิด แล้วก็ดับ แต่ "กลิ่น" ก็ไม่รู้อะไรเลย แต่ว่า "ความคิด" ไม่ใช่ "กลิ่น" ไม่ใช่ "เสียง" ไม่ใช่ "รส" เพราะฉะนั้น ต้องเป็นธรรมะ สิ่งที่มีจริง อีกอย่างหนึ่ง และ แท้ที่จริงแล้ว "ลักษณะ" ของ "คิด" หรือ "ลักษณะ" ของ "เห็น" , "ลักษณะ" ของ "ได้ยิน" ต้องต่างจาก "สิ่งที่กำลังปรากฏ"

กว่าที่จะได้ทรงตรัสรู้ความจริง บำเพ็ญเพียร ทุกชาติ ด้วยพระบารมีนานา ๑๐ อย่าง เพื่อให้ถึงการที่ สามารถเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีและปรากฏ เพราะฉะนั้น ธรรมะ ต้องลึกซึ้งมาก แม้แต่ว่า จะพูดถึงอะไรก็ตาม ให้คิดถึงว่า ผู้ฟัง ซึ่ง เพียงฟัง เริ่มฟัง อุปมา ว่า "ปัญญา" นั้น เหมือนกับ จงอยปากยุง ที่จุ่มลง ในมหาสมุทร คือ พระธรรม เพราะฉะนั้น ไม่ประมาทเลย ว่าเรากำลังฟัง สิ่งซึ่ง เราไม่รู้หรอก ถ้าไม่ได้ฟัง และ แม้แต่รู้ ก็รู้เผินๆ หรือว่า รู้คำ ก็อยากจะรู้คำ อยากจะเข้าใจคำ แต่ "ตัวธรรมะ" จริงๆ เดี๋ยวนี้ !!! ไม่ได้เคยคิดว่า เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ของพระธรรม ทั้งหมด ที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพื่อเข้าใจถูก เห็นถูก ในสิ่งที่มี ตามปรกติ

แต่เราข้ามไปถึง ปฏิจจสมุปปาท ไปถึง อริยสัจจะ แล้วก็ไม่รู้อะไร? มีแต่ชื่อ ทั้งนั้น ได้ยินคำอะไร ก็มานั่งคิด ด้วยความเป็นตัวตน แต่ไม่ได้ "ตรงทาง" ที่ทรงแสดงไว้ ว่า การฟัง เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก สักอย่างเดียว แล้วก็ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใครด้วย แล้วก็ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น

เช่น "เห็น" , "เห็น" ต้องเป็น "เห็น" ถ้าเราเริ่มเข้าใจ "เห็น" ว่าเป็น "เห็น" เป็น "เรา" หรือ? ค่อยๆ ห่างไกล จากการยึดถือ สภาพธรรมะ ว่าเป็นเรา ทีละเล็ก ทีละน้อย แต่...นานมาก...เพราะเหตุว่า ต้องเข้าใจ "เห็น" ไม่ใช่เพียงเข้าใจว่า มีจริงแต่ คือ อะไร? ต่างกับ "สิ่งที่ปรากฏ" นี่แน่นอน แล้ว "ธาตุรู้" ที่เกิดขึ้น ไม่ต้องไปกังวล สนใจ ไขว่คว้า ด้วยความเป็นตัวตน ที่จะไป "พยายามรู้" เพราะว่า ด้วยความสนใจ ไขว่คว้า จะไปรู้ ด้วยความเป็นตัวตน ไม่มีวันพบ

แต่ต้องเป็นการฟังพระธรรม จนกระทั่ง มีความค่อยๆ เข้าใจ "ลักษณะ" ซึ่ง ขณะนี้ "เห็น" กว่าจะละ การยึดถือ "เห็น" ว่า เป็น "เราเห็น" เพราะว่า ความจริง "เห็น" ไม่ใช่ "เรา" "เห็น" เกิด แล้วดับ ถ้าไม่มีรูปร่างเข้ามาปะปน ก็จะเข้าใจชัดเจนว่า "เห็น" เป็นอื่นไม่ได้เลย นก เห็นไหม? คน เห็นไหม? งู เห็นไหม? "เห็น" เป็น นก หรือเปล่า? ไม่ใช่ "เห็น" เป็น งู หรือเปล่า? "เห็น" เป็น "เห็น" คือ เป็น "ธาตุ" ซึ่งเกิดขึ้น "เห็น" แล้วดับไป

และ ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรม เพียงสั้นๆ เพราะรู้ว่า อัธยาศัย ของคนฟัง ยากแสนยาก ที่จะน้อมมา ค่อยๆ เห็นประโยชน์ ของการที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ ว่า แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้น แล้วดับไป ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วจะบอกว่า ไม่ใช่ตัวตน หรือ จะไปปฏิบัติ วิธีอื่น ก็ไม่มีทาง ที่จะเข้าใจความจริง ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมะ เป็นเรื่องที่ละเอียดยิ่ง สุขุม ลึกซึ้ง แต่ความจริง เป็นอย่างนี้ ว่า เราอยู่ในโลกของ "ความไม่รู้" อยู่ในโลกของ "ความจำ" อยู่ในโลกของ "ความลวง" ซึ่งปิดบังสภาพธรรมะ ซี่งเกิด ดับ ในขณะนี้

วันก่อน กล่าวถึง "โลกภายนอก" กับ "โลกภายใน" ขณะนี้ ที่มีคนเยอะแยะเลย มีทุกสิ่งทุกอย่าง แล้ว มีได้อย่างไร? อยู่ดีๆ ก็มีขึ้นมาหรือ??? เพราะฉะนั้น "โลกภายใน" แท้ๆ ซึ่งคนไม่รู้ ก็คือ "สภาพ" หรือ "ธาตุรู้" ซึ่งเป็น "จิต" เป็นใหญ่ เป็นประธาน ในการ "รู้" กำลัง "เห็น" เดี๋ยวนี้ กำลัง "ได้ยิน" เดี๋ยวนี้ แล้วก็มีสภาพนามธรรม ซึ่งเกิดด้วยกัน ดับพร้อมกัน ความโกรธ ความรัก พวกนี้ ก็มาจากขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน รวมเรียกว่า "นามธาตุ" เป็นธาตุรู้ ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปน เหมือน "เห็น" "ตัวเห็น" แท้ๆ ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย "ได้ยิน" ก็ "ตัวได้ยิน" สภาพได้ยิน ไม่มีรูปร่างใดๆ เลย ทั้งสิ้น แต่ว่า สภาพธรรมะอีกอย่างหนึ่ง มีลักษณะ หลากหลาย ปรากฏทางหู เป็น "เสียง" ปรากฏทางจมูก เป็น "กลิ่น" แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ก็เป็นธรรมะ ที่เป็น "รูปธรรม"

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะโลกนี้ โลกไหน จักรวาลใดๆ หรือ ที่จะกล่าวว่า นอกโลก อวกาศ หรือ อะไรก็ตามแต่ ก็จะพ้นจาก สิ่งที่มีจริงๆ ๒ อย่างนี้ ไม่ได้เลย คือ สภาพหนึ่ง ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ทางธรรมะ พระพุทธพจน์ ตรัสไว้ว่า เป็น "รูปธรรม" รูป กับ ธรรมะ เป็น รูปธรรม ส่วน สภาพธรรมะ ซึ่งเกิดขึ้น เป็นธาตุรู้ ใช้คำว่า "นามธรรม" เป็นสภาพที่ เมื่อเกิดแล้ว ต้องรู้ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ ดูเหมือนว่า มีคน มีเรื่องมีราว ต่างๆ แต่ จะไม่มีเลย ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป แต่เพราะเหตุว่า มีจิต เจตสิก เกิดขึ้น "รู้" แล้วก็ "คิด" ต่างๆ ก็ทำให้ เห็นแต่สิ่งที่ปรากฏ "ภายนอก" โดยไม่รู้ว่า "โลกภายใน" ก็คือ จิต เจตสิก เกิดดับ สืบต่อ ตลอดเวลา ที่กำลัง "มองเห็น" ที่กำลัง "คิด" ว่าเป็น คนนั้น คนนี้ หรือแม้แต่ กำลังฟัง เรื่องราวต่างๆ

เพราะฉะนั้น อย่างกล้องวีดีโอ ถ่ายภาพ ข้างในเป็นอะไร? ไม่มีใครคิดเลย แม้แต่นาฬิกา หมุนไป เป็นกาลเวลา ข้างในเป็นอะไร? ก็ไม่รู้อีก เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ปรากฏ อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ปรุงแต่งเป็นเหตุเป็นปัจจัย ไม่มีลักษณะ ของธรรมะใด ธรรมะหนึ่ง ที่จะเกิดขึ้นได้ตามลำพัง โดยไม่มีการปรุงแต่ง ของสภาพธรรมะ อื่นๆ นี่ก็ลึกซึ้งไปเรื่อยๆ แต่ละคำ ยังไม่ถึงไหน เพียงแต่ให้รู้จัก ว่าสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีใครบังคับได้ เกิดขึ้น "เห็น" แล้วก็ดับ เกิดขึ้นเป็น "เจ็บ" แล้วก็ดับ ไม่ใช่เรา ดับไปแล้ว "เรา" จะอยู่ที่ไหน?

แม้แต่ ทรัพย์สมบัติ มากมาย มหาศาล ที่คิดว่า เป็นของเรา "แค่คิด" พอจิตขณะสุดท้าย เกิด ดับ พ้นความเป็นสภาพ บุคคลนี้ ไหนล่ะ? สมบัติของใคร? แต่ว่า ระหว่างที่ยังไม่ตาย "ของเรา" แต่พอตายแล้ว ไหน? ของเรา? ตั้งแต่ศีรษะ จรดเท้า นี่ก็ไม่ใช่ของเราแล้ว ไม่มีเราเลย พ้นสภาพ ความเป็นบุคคลนี้ โดยสิ้นเชิง นี่คือ สิ่งที่เป็นความจริง ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลง เลย ไม่ว่าจะอยู่โลกไหน ก็ต้องเป็นอย่างนี้!!

เพราะฉะนั้น ก็ ฟัง เพื่อเข้าใจ เพื่อสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ยังไม่ต้องไปดับกิเลส เพราะว่า ยังไม่ได้เข้าใจอะไร พอที่จะดับกิเลส แต่ สะสม ความเห็นถูก ความเห็นถูก ไม่ใช่ความเห็นผิด ขณะใดที่มีความเห็นถูก ความเห็นผิด ไม่มี สะสมไป จนกว่าจะดับความเห็นผิด เพราะเกิดจาก "ความไม่รู้" เพราะ "รู้" จึงเข้าใจถูก และ เห็นถูกต้อง

...ฟัง เพื่อให้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นปัญญาของตัวเอง จากการฟังแต่ละครั้งๆ ความเข้าใจถูก เห็นถูก ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทำให้มั่นคงในหนทางที่ถูกต้อง ยิ่งขึ้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ขณะที่กุศลจิตเกิด อกุศลจิตเกิด ล้วนเป็นธรรม เป็นสภาพธรรม ที่มีจริงทั้งหมด ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ในเมื่อเป็นความจริง จึงควรค่าแก่การศึกษา...

(คัดจากกระดาน ธรรมทัศนะ)

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของคุณประสาร คุณรัชนีวรรณ บุญชู และ ครอบครัว
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 27 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณลุงประสาร - คุณป้ารัชนีวรรณ และครอบครัว

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
napachant
วันที่ 27 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 28 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
raynu.p
วันที่ 31 ส.ค. 2556

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Thanapolb
วันที่ 31 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุโมทนากับกุศลจิตของทุกท่าน

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ch.
วันที่ 31 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ขอนอบน้อม
วันที่ 13 ก.ย. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Somporn.H
วันที่ 5 ก.ค. 2561

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ