เหตุของรูปพรหมภูมิยังไม่เป็นปัญญาหรือไม่ ต่างกับการดับนามอย่างไร

 
สิริพรรณ
วันที่  30 ส.ค. 2556
หมายเลข  23467
อ่าน  900

ปัญจมฌานกุศลจิตที่หน่ายความยินดีพอใจในนามธรรมเป็นปัจจัยให้รูปปฏิสนธิเป็นอสัญญสัตตาพรหมในอสัญญสัตาภูมิซึ่งมีแต่รูป ไม่มีนามนั้น ไม่ใช่เป็นการดับนาม ใช่ไหมคะ เนื่องจากยังไม่ดับอวิชชาใช่ไหม จึงต้องเกิดอีก หากท่านนั้นมีปัญจมฌานกุศลที่หน่ายทั้งรูปและนามเป็นไปได้มั๊ยคะ และจะมีผลอย่างไร ต่างกับจิตพระอรหันต์ที่ไม่ต้องมีปฏิสนธิจิตอีกแล้วหลังจากจุติจิตดับไปอย่างไร

ขอบพระคุณท่านอ.ผู้มีความรู้ให้ความกระจ่างด้วยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อสัญญสัตตาพรหม ยังเป็นปุถุชน ยังเต็มไปด้วยกิเลส หากแต่ว่าการเกิดของท่านเกิดด้วยอำนาจของการเจริญสมถภาวนา ที่เป็นการหน่าย ในการมีนามธรรม คือ จิต เจตสิก แต่ ไม่ใช่การหน่ายด้วยการประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นวิปัสสนาญาณ ดั่งเช่น การเจริญอบรมวิปัสสนา ที่เป็นหนทางที่ถูกต้องในการดับกิเลส เพราะฉะนั้น การเจริญ สมถภาวนา ที่ถึง ปัญจมฌาน ก็ไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงของสภาพธรรม ที่มีลักษณะไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ประจักษ์การเกิดดับ ไม่ประจักษ์ความเป็นโทษ เป็นภัยของธรรมจริงๆ เพราะ ไม่ได้รู้ลักษณะที่เพียงเกิดขึ้นและดับไป ดังเช่น วิปัสสนาญาณจึงไม่สามารถที่จะเบื่อหน่ายด้วย ปัญญาทั้งนาม และรูปได้ คือ ไม่สามารถถึงนิพพิทาญาณ ที่เป็นการเจริญวิปัสสนาญาณ อันเป็นการเบื่อหน่ายด้วยปัญญา ทั้งนาม และ รูป ที่เป็นหนทางการดับกิเลสที่ถูกต้อง อันเกิดจากการเจริญวิปัสสนา เพราะฉะนั้น อสัญญสัตตาพรหม ก็ยังมีกิเสเต็ม เป็นปุถุชน และ ก็ต้องกลับมาเป็นสัตว์โลกอีกเรื่อยไป เพราะ การเจริญสมถภาวนา ก็ยังมีความยึดถือว่าเป็นเราได้ แม้จะได้ฌานสูงสุด ก็ยังสำคัญว่าเป็นเราได้ฌาน ไม่สามารละกิเลสได้ ครับ

ส่วนพระอรหันต์ เป็นได้ด้วยการเจริญวิปัสสนา หน่ายด้วยปัญญา ในนามธรรมและรูปธรรม ตามความเป็นจริง เพราะ ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ดังนั้น ท่านดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว ไม่มีเชื่อ ปัจจัยจะให้เกิดกิเลสอีก และ ไม่ต้องเกิดขันธ์ ห้า ในอนาคต เมื่อปรินิพพานแล้ว ต่างจาก อสัญญสัตตาพรหมที่ยังมีกิเลส ยังจะต้องกลับมาเกิดอีก ครับ และ หนทางการเจริญก็ต่างกัน อสัญญสัตตาพรหมด้วยการเจริสมถภาวนา เพียงสงบระงับกิเลส ไม่ได้ละกิเลส แต่ พระอรหันต์เจริญวิปัสสนา อริยมรรคมีองค์ แปด เป็นหนทางที่ไม่ใช่เพียงระงับ แต่ สามารถละกิเลสได้จนหมดสิ้น ครับ ขออนุโมทนา

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
nongnooch
วันที่ 30 ส.ค. 2556

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 30 ส.ค. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พรหมบุคคล ที่มีแต่รูปธรรรม เท่านั้น ไม่มีนามธรรม คือ จิต เจตสิก เกิดขึ้นเลยนั้น
คือ อสัญญสัตตาพรหม [พรหมที่ไม่มีนามธรรม หมายความว่า จิต และ เจตสิกทั้งปวง คือ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เป็นต้น ไม่เกิดขึ้นเลย มีแต่รูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป] เป็นพรมหบุคคล ที่เกิดในรูปพรหมภูมิ ชั้นที่ ๑๑ คือ อสัญญสัตตาภูมิ อสัญญสัตตาพรหม เป็นผู้ได้ปัญจมฌานซึ่งไม่ปรารถนาที่จะมีนามธรรม เพราะหน่ายในนามธรรม เป็นผู้คลายความพอใจในนามธรรม เมื่อฌานไม่เสื่อม ก็เป็นเหตุให้รูปปฎิสนธิ เกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม ซึ่งมีแต่รูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น (มีรูปขันธ์เพียงขันธ์เดียว)

เมื่อเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม จึงไม่มีจิต เจตสิก เกิดขึ้น เพราะไม่มีปัจจัยที่จะให้จิต เจตสิก เกิดขึ้น นั่นเอง แต่เมื่ออสัญญสัตตาพรหมหมดอายุที่จะดำรงอยู่ในอสัญญสัตตาพรหมภูมิ ก็ย่อมจะมีปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (มีทั้งนามธรรม และ รูปธรรม) ได้ เป็นผู้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ยังไม่พ้นไปจากความเป็นอย่างนี้ไปได้ และ ในขณะที่ดำรงอยู่ในอสัญญสัตตาพรหมภูมิไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย เพราะไม่มีเหตุปัจจัยให้นามธรรม คือ จิต และเจตสิก เช่น สติ ปัญญาศรัทธา เป็นต้น เกิดขึ้นได้เลย จนกว่าจะได้เกิดในภูมิที่มีขันธ์ ๕ มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมปัญญาต่อไปก็จะเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่ได้ศึกษาพระธรรมเลย ย่อมไม่มีทางทีจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นผลของการอบรมเจริญปัญญา ตราบใดที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อันเนื่องมาจากยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลย นั้น สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ กุศลธรรม ธรรมที่ดีงามประการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง เรื่องพรมหบุคคล เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก ขณะนี้พวกเราได้เกิดในภูมิมนุษย์ ซึ่งเป็นภูมิที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญกุศลได้ทุกประการ ไม่มีเว้นเลย และยังเป็นยุคที่พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่จึงเป็นโอกาสที่ดียิ่งในชีวิตที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ต่อไป ไม่ควรละเลยโอกาสที่มีค่าอย่างสูงสุดนี้ ดังข้อความตอนหนึ่งจากอักขณสูตร ดังนี้ ครับ

[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ หน้าที่๔๕๔

"พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้งบางคราว การที่พระตถาคตเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การได้กำเนิดเป็นมนุษย์ ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพร้อมกันเข้าได้ หาได้ยากในโลก ชนผู้ใคร่ประโยชน์ จึงควรพยายามในกาลดังกล่าวมานั้น ที่ตนพอจะรู้จะเข้าใจสัทธรรมได้ ขณะอย่าล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย"

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 30 ส.ค. 2556

อสัญญสัตตาพรหม มีแต่รูป ไม่มีนาม ยังมีกิเลส เพราะ ยังไม่ได้ดับกิเลส และ ยังไม่สามารถเบื่อหน่ายในนาม และ รูปได้ ค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ