อธิบายเรื่องสวรรค์ นรกสำหรับเด็ก

 
natural
วันที่  1 ก.ย. 2556
หมายเลข  23479
อ่าน  4,796

มีเด็กหลายคนมักถามว่าสวรรค์ นรกอยู่ที่ไหน จึงขอเรียนถามเรื่องสวรรค์ นรก

สำหรับเด็ก ระดับที่พอเข้าใจเหตุผลได้ ว่าควรอธิบายอย่างไรคะ (ที่ผ่านมาจะ

ใช้สำนวนว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ-ตั้งคำถามแล้วสรุปว่าทำอะไรที่ดีแล้วจะ

รู้สึกสบายใจ ทำอะไรที่ไม่ดีแล้วจะรู้สึกไม่สบายใจ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 1 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อพูดถึงสวรรค์ และ นรก บุคคลบางคนอาจจะไม่เชื่อว่า เป็นภพภูมิที่มีจริง

หรือบางคนอาจจะเข้าใจว่า ไม่มีจริงเป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนให้

ละอายชั่วกลัวบาป เท่านั้น เป็นต้น แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธ

ศาสนาแล้ว ได้รับความกระจ่างชัดในเรื่องนี้มากทีเดียว ดังต่อไปนี้

สวรรค์ และนรก เป็นภพภูมิที่มีจริง เช่นเดียวกับโลกนี้ซึ่งเป็นโลกๆ หนึ่ง

เมื่อเกิดในโลกนี้ ก็รู้ว่าโลกนี้มีจริง เมื่อยังอยู่ในโลกนี้ก็ยังไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก

(แต่ก็เคยไปเกิดมาแล้วทั้งนั้น เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนาน เราเกิดมาแล้วนับชาติไม่

ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และยังจะต้องเกิดอีกต่อไป ตราบใดที่ยังไม่สามารถ

ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด) แต่เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ไปเกิดในสวรรค์ หรือ

เกิดในนรก เมื่อนั้นก็จะรู้ได้ว่า สวรรค์ หรือ นรก นั้น มีจริงๆ

เมื่อได้กระทำกรรมดีสมควรแก่การเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ กรรมนั้นก็ให้ผลทำ

ให้เกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ และเมื่อนั้นก็จะรู้ว่า สวรรค์ก็คือโลกๆ หนึ่ง เป็นภพภูมิหนึ่ง

ซึ่งก็เหมือนโลกนี้ แต่รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ประณีตกว่าโลก

มนุษย์ จึงชื่อว่า สรรค์ ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ได้ยกมา แสดงถึงผลของกรรม

ดีที่เทพธิดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้รับ

ในทางตรงกันข้าม นรก ก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่ง เป็นภพภูมิที่มีจริง แต่เป็นอบายภูมิ

ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานประการต่างๆ ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ได้ยกมา

เป็นภพภูมิที่ปราศจากความเจริญ หมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลทุกประการ ไม่มีใคร

อยากไปเกิดในนรก แต่ก็ไม่สามารถเป็นไปตามที่ใจต้องการ ได้ ถึงแม้จะบอกว่าไม่

อยากไปเกิดในนรก ก็ไปเกิดได้ทั้งนั้น ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ถ้าเป็นผู้

ประมาทมัวมัว กระทำกุศลกรรมประการต่างๆ มีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งเป็น

ไปตามกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว ไม่มีใครหยิบยื่นความทุกข์ทรมานให้ได้เลย นอกจาก

ตนเองเท่านั้นที่ได้กระทำกรรมชั่วลงไป เมื่อถึงคราวที่กรรมชั่วให้ผล จึงทำให้ได้รับ

ผลที่ไม่น่าปรารถนา เหล่านั้น

เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิใด ก็เป็นเพียงที่

พักชั่วคราวเท่านั้น แม้แต่มนุษย์โลกนี้เอง ก็เป็นเพียงที่พักชั่วคราวจริงๆ ไม่รู้ว่าเรา

จะละจากโลกนี้ไปเมื่อใด ทางที่ดีที่สุด คือ ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ

และ ไม่ประมาทกำลังของกุศล ด้วย ทุจริตแม้เล็กๆ น้อยๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่

เห็น ก็ไม่ควรทำ เพราะความชั่ว แม้จะเล็กน้อย ก็เป็นความชั่วเป็นโทษ เป็นภัยทั้งนั้น

ทุจริตนั้น เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว ย่อมตามเผาผลาญในภายหลัง คิดถึงเมื่อใดก็ไม่

สบายใจเมื่อนั้น และเมื่อถึงคราวที่กุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อน ส่วน

สุจริต ความดีทั้งหลาย แม้จะไม่มีใครเห็น ก็ควรทำ เพราะความดีทั้งหลายนำมาซึ่ง

ความปราโมทย์อย่างเดียว ไม่นำความทุกข์ใดๆ มาให้เลย และความดีที่สำคัญที่สุด

ที่ขาดไม่ได้เลยนั้น ก็คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสม

ความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ยิ่งๆ

ขึ้นไป ความดีทั้งหลายในชีวิตประจำวัน จะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อได้เป็นผู้เข้าใจพระ

ธรรม อันเนื่องมาจากการได้ฟังพระธรรม นั่นเอง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 1 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรม ไม่สาธารณะกับทุกคน ผู้ที่สะสมความเห็นถูก ศรัทธาในพระพุทธศาสนา

จึงจะเชื่อ และเห็นคล้อยตามในเรื่องภพภูมิข้างหน้ามีนรก สวรรค์ เป็นต้นครับ แต่ผู้ที่

ไม่ได้สะสมปัญญา ศรัทธามาในพระพุทธศาสนา ก็เป็นแรื่องยากที่จะเชื่อ เพราะเหตุ

ว่าเหตุการณ์หรือสถานที่นั้น เขายังไม่เห็น และเวลานั้นยังมาไม่ถึงครับ อย่างไรก็ตาม

ก็ขออธิบาย ตามแนวให้พอเข้าใจในเรื่อง สวรรค์และนรก ว่ามีจริง หรือไม่ครับ

นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสวรรค์และนรก เพื่อให้เห็น

ว่ากรรมมี ผลของกรรมก็ย่อมมี กรรมดีเมื่อได้ทำ ผลก็ย่อมมี กรรมชั่วเมื่อได้ทำลงไป

ผลก็ย่อมมีจากผลของการทำชั่ว หากเราจะตัดสินสิ่งที่มีจริง ด้วยการเห็นเท่านั้น

หากไม่ได้เห็นก็บอกว่าไม่มีจริง คงตัดสินแค่นั้นไม่ได้ครับ สิ่งที่ไม่เห็นแต่มีจริงก็ได้

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของเหตุผล และเมื่อบุคคลเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจึงเชื่อ แต่สำหรับ

ผู้มีปัญญาแล้ว ย่อมเชื่อในสิ่งที่แม้ไม่ได้เห็น เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลที่เป็นไป

ตามความเป็นจริง ในโลกมนุษย์ที่เห็นๆ กันอยู่ ทำไมบางคนถึงได้รับความสุขเกิดมา

พบสิ่งดีๆ เป็นส่วนมาก ทำไมบางคนถึงได้รับความทุกข์ทรมาน ทางกายมากกว่า

คนอื่น ทุกอย่างต้องมีเหตุ ไม่ใช่เกิด ขึ้นมาลอยๆ ครับ ในการได้รับสุข ได้รับทุกข์

ผู้ที่ได้รับความสุขทางกายที่ดี ก็ย่อมเกิดจากเหตุ ที่ดีคือการกระทำ กุศลกรรม ทำสิ่ง

ที่ดี ผู้ที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดีทางกาย หรือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่

ไม่ดี เกิดจากการกระทำที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลกรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่อง

ของเหตุและผล ทำกรรมดีก็ย่อม ได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับสิ่งที่ไม่ดีครับ

บนโลกเราทำไมบางคนอาจโดนไฟไหม้ตัวเอง แต่ระยะเวลาไม่นาน แล้วจะมี

สถานที่อื่นไหมที่ถูกไฟเผาตัวเองเป็นเวลานาน ทำไมคนอื่นไม่ถูกไฟไหม้แต่ทำไม

ต้องเป็นคนนี้เพราะกรรมที่ไม่ดีของคนนั้นให้ผล แล้วถ้ากรรมที่ไม่ดีที่มีมาก มีกำลัง

ผลก็ย่อมรุนแรงกว่านี้ ย่อมจะมีสถานที่ที่ได้รับการถูกเผาด้วยไฟนานกว่านั้น นี่เราพูด

ถึงเรื่องของเหตุและผล ว่ากรรมที่ทำที่เป็นกรรมไม่ดี ก็มีตั้งแต่มีกำลังน้อยก็ให้ผล

ไม่มาก จนถึงกรรมไม่ดีที่มีกำลังมาก การให้ผลก็ย่อมให้ผลในทางที่ไม่ดีมาก อันมี

สถานที่ที่สมควรแก่การรับผลในทางที่ไม่ดีมีนรก เป็นต้น สัตว์ดิรัจฉานบางประเภท

ก็ถูกฆ่าอย่างทารุณ แต่ระยะเวลาไม่นาน นี่เราพอจะเห็นได้ เป็นนรกของสัตว์หรือ

เปล่า ซึ่งก็ต้องเป็นเพราะผลของกรรมที่ไม่ดี แต่จะมีสถานที่อื่นไหมที่จะต้องได้รับ

การฆ่า ทรมานมากกว่านั้น เพราะกรรมชั่วที่ทำนั้นมีกำลังมากจึงต้องมีสถานที่ที่

เหมาะสมในการรับผลของกรรม ตามกำลังของกรรมชั่วที่ทำไว้

โดยนัยเดียวกับเรื่องของสวรรค์ ในโลกมนุษย์ก็มีผู้ที่ได้รับความสุข ได้พบสิ่งที่ดี

นั่นเป็นผลของกุศลกรรมที่เขาทำไว้ให้ผล แต่หากเป็นกุศลกรรมที่มีกำลัง ประณีต

ผลของกุศลนั้นก็ย่อมให้สิ่งที่ดีมากกว่านี้ ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี เป็นต้น อันมี

สถานที่ที่เหมาะสมกับการได้รับผลของกรรมที่เป็นกรรมที่ดี ประณีต มีกำลัง มีสวรรค์

เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องของเหตุและผล เป็นเรื่องของกรรมและผลของกรรม กรรม

ดีมีกรรมที่ดี ประณีตมากๆ ก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมที่ทำดี

กรรมไม่ดีมีจริง และถ้าเป็นกรรมชั่วที่มีกำลังมาก ก็ย่อมมีสถานที่เหมาะสมในการรับ

ผลของกรรมที่เป็นกรรมดี มีสวรรค์ เป็นต้น

ส่วนในความเป็นจริงใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นจึงเป็นไปตามความคิดนึก ความเข้าใจ

ของแต่ละบุคคล ไม่เห็นจะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มีไม่ได้ แต่การจะรู้ว่ามีหรือไม่มีนั้นจึง

เป็นการเห็นด้วยปัญญา เข้าใจตามโดยไม่ได้เชื่อตามตำรา แต่เพราะพิจารณาเหตุผล

ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ย่อมเข้าใจความจริงว่า เมื่อเหตุมีผลก็ย่อมมี เมื่อทำ

กรรมดีที่มีกำลังก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการับผลของกรรม เช่นเดียวกับกรรม

ชั่วที่มีกำลังเมื่อให้ผลก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมครับ

พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องนรก-สวรรค์ เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายเห็นโทษของอกุศล

กรรมและเห็นประโยชน์ของกุศลกรรม พระธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องของ

เหตุผลครับ

ในพระไตรปิฎก ได้มีการซักถามและการพูดคุยในเรื่องของภพภูมิข้างหน้าที่เป็น

นรกและสวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่ ในปายาสิราชัญญสูตร พระเจ้าปายาสิ ไม่เชื่อในเรื่อง

โลกหน้า ไม่เชื่อในเรื่องนรก สวรรค์ พระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นเลิศในการกล่าวธรรม

วิจิตร ได้แก้ข้อสงสัยและความเชื่อผิดของพระเจ้าปายาสิที่เชื่อว่าไม่มีโลกหน้า ไม่

มีนรก สวรรค์ซึ่งท่านพระกุมารกัสสปะ ได้แก้ความเข้าใจผิดที่พระเจ้าปายาสิกล่าว

แย้งได้เป็นอย่างดีเมื่อได้อ่านแล้วจะทำให้เข้าใจเรื่อง นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่ครับ

ขออนุโมทนาครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่......นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 2 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 3 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 4 [ปายาสิราชัญญสูตร]

เชิญคลิกอ่านกระทู้เพิ่มเติมครับ

นรก และเหตุที่ทรงแสดงภูมิต่างๆ

จะพิสูจน์อย่างไรว่านรก สวรรค์มีอยู่จริงหรือไม่

ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Endeavor
วันที่ 1 ก.ย. 2556

ถ้าจะให้เชื่อจริงๆ ก็คงต้องพาไปดู แต่ว่าไม่มีใครพาไปดูได้นะครับ

อย่างน้อยจึงควรอธิบายให้เด็กทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะทั้งปวงตาม

ความเป็นจริง ทั้งเหตุเกิด และหนทางที่จะดับธรรมะเหล่านั้นจนหมดสิ้นด้วย

ซึ่งประโยชน์อันหนึ่งจากการได้ศึกษาธรรมะ คือเป็นผู้ที่มีความเห็นถูกต้องและมั่นคง

จริงๆ ว่า

- เหตุที่ดี (คือกรรม หรือเจตนาที่ดีเป็นกุศลได้แก่ ทาน ศึล และภาวนา) ย่อมทำให้

เกิดผลที่ดีแน่นอน (คือกุศลวิบาก หรือ การได้ปฏิสนธิในภพภูมิที่ดี รวมทั้ง การเห็น

ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และกระทบสัมผัสอารมณ์ที่ดี)

- ส่วนเหตุที่ไม่ดี คือ กรรมหรือเจตนาที่ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะ ย่อมให้ผล

ที่ไม่ดีแน่นอน คือ อกุศลวิบาก โดยการปฏิสนธิในอบายภูมิ 4 รวมทั้ง การเห็น ได้ยิน

ได้กลิ่น ลิ้มรส และกระทบสัมผัสอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ

แต่การให้ผลของกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดซับซ้อน เพราะต้องอาศัยปัจจัยที่เหมาะสม

แต่ละขณะไป และสังสารวัฏฏ์นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่าหาที่สุดเบื้องต้นและเบื้องปลาย

ไม่ได้ หมายความว่ากรรมที่แต่ละคนได้ทำแล้วนั้น มีมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งกุศลกรรม

และอกุศลกรรม จึงไม่ใช่ว่าคนที่ทำบุญทำทานมากมายในชาตินี้ จะได้รับวิบากในชาติ

นี้ทันทีทุกคน เพราะกรรมในชาตินี้ก็ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับกรรมที่เคยกระทำมาแล้ว

แต่ก็ไม่ควรประมาทในการเจริญกุศลธรรมไว้เป็นเสบียง

ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดที่ได้รับกุศลวิบากตลอดไป หรือได้รับเฉพาะอกุศลวิบากตลอดไป

แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าการเกิดขึ้นและดับไปของสังขารธรรมทั้งหลายนั้น เป็น

ทุกข์ เพราะไม่เที่ยง แม้วิบากที่น่าพอใจก็ไม่เที่ยง และความสุขที่เกิดจากวิบากนั้น ก็

ไม่เที่ยงเหมือนกัน จึงเป็นทุกข์ ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง

แต่นิพพาน คือสภาพที่สิ้นกิเลส และดับสังขารธรรมทั้งหลายได้สนิทไม่มีการเกิดอีก

เลย จึงจะเป็นสุขที่แท้จริงครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
natural
วันที่ 2 ก.ย. 2556

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 3 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ