ความเป็นไปของผู้มีเวรต่อกัน [ลฏุกิกชาดก]
[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ ๗๕๗
๗. ลฏุกิกชาดก
[คติ (ทางไป) ของคนมีเวร]
[๗๓๒] ดิฉันขอไหว้พระยาช้างผู้มีกำลังเสื่อม
ในกาลที่มีอายุได้หกสิบปีแล้ว ผู้อยู่ในป่า
เป็นเจ้าโขลง เพรียบพร้อมด้วยบริวารยศนั้น
ดิฉันขอทำอัญชลีท่านด้วยปีกทั้งสอง ขอ
ท่านอย่าได้ฆ่าลูกน้อยๆ ของฉันผู้มีกำลัง
ทุรพล (มีกำลังอ่อน) เสียเลย
[๗๓๓] ดิฉันขอไหว้พระยาช้างผู้เที่ยวไปตัว-
เดียว ผู้อยู่ในป่า เที่ยวหาอาการกินตามเชิง
ภูเขา ดิฉันขอทำอัญชลีท่านด้วยปีกทั้งสอง
ขอท่านอย่าได้ฆ่าลูกน้อยๆ ของดิฉันผู้มีกำลัง
ทุรพลเสียเลย
[๗๓๔] แน่ะนางนกไส้ เราจักฆ่าลูกน้อยของ
เจ้าเสีย เจ้ามีกำลังน้อยจักทำอะไรเราได้
เราจะขยี้นกไส้อย่างเจ้าตั้งแสนตัวให้ละเอียด
ไปด้วยเท้าข้างซ้าย
[๗๓๕] กิจที่จะพึงทำด้วยกำลังกายย่อมสำเร็จ
ไม่ได้ในที่ทั้งปวง เพราะกำลังกายของคน
พาล ย่อมมีเพื่อฆ่าคนอื่น แน่ะพระยาช้าง
ท่านผู้ใดฆ่าลูกน้อยๆ ของเราผู้มีกำลังทุรพล
เราจักทำสิ่งที่ไม่ใช่ความเจริญให้แก่ท่านผู้
นั้น
[๗๓๖] ท่านจงดูกา นางนกไส้ กบและ
แมลงวันหัวเขียว สัตว์ทั้งสี่เหล่านี้ได้ร่วมใจ
กันฆ่าช้างเสียได้ ท่านจงเห็นคติแห่งเวร
ของคนมีเวรทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแล ท่าน
ทั้งหลายอย่าได้กระทำเวรกับใครๆ ถึงจะไม่
เป็นที่รักใคร่กันเลย.
จบ ลฏุกิกชาดกที่ ๗
อรรถกถาลฏุกิกชาดกที่ ๗
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภ
พระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า วนฺทามิ ตํ
กุญฺชรํ สฏฺฐิหายํ ดังนี้ :-
ได้ยินว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรง-
ธรรมสภาว่า ดูกร อาวุโสทั้งหลาย พระเทวทัตเป็นคนกักขฬะ (แข็งกระด้าง)
หยาบช้าอย่างมาก พระเทวทัตนั้น ไม่มีแม้แต่ความกรุณาในหมู่สัตว์.
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลาย ว่า บัดนี้ พวก
เธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรง
ทราบว่า เรื่องชื่อนี้ พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตนี้ก็เป็นผู้ไม่มีความ
กรุณาเหมือนกัน แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดช้าง เจริญวัยแล้ว
มีร่างกายใหญ่น่าเลื่อมในเป็นจ่าโขลงมีช้างแปดหมื่นเป็นบริวาร อยู่ใน
หิมวันตประเทศ. ครั้งนั้น นางนกไส้ตัวหนึ่งตกฟองให้ในที่เป็นที่
เที่ยวไปของพวกช้าง. ลูกนกทั้งหลายทำลายฟองไข่ที่แก่ๆ ออกมา
เมื่อลูกนกเหล่านั้น ปีกยังไม่งอกไม่สามารถจะบินได้เลย พระ-
มหาสัตว์อันช้างแปดหมื่นห้อมล้อม เที่ยวหาอาหารไปถึงประเทศ
ถิ่นนั้น. นางนกไส้เห็นดังนั้นจึงคิดว่า พระยาช้างนี้จักเหยียบย่ำ
ลูกทั้งหลายของเราตาย เอาเถอะ เราจักขอการอารักขาอันประกอบ
ด้วยธรรมกะพระยาช้างนั้น เพื่อจะป้องกันลูกน้อยทั้งหลายของเรา.
ครั้นคิดแล้ว นางนกนั้นจึงประคองปีกทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วยืน
อยู่ข้างหน้าพระยาช้างนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าพเจ้าขอไหว้พระยาช้างผู้มีกำลัง
เสื่อมโดยกาลที่มีอายุได้ ๖๐ ปี ผู้อยู่ในป่า
เป็นเจ้าโขลง เพรียบพร้อมด้วยบริวารยศนั้น
ข้าพเจ้าขอทำอัญชลีท่านด้วยปีกทั้งสอง ขอ
ท่านอย่าได้ฆ่าลูกน้อยๆ ของข้าพเจ้าผู้ยังมี
กำลังทุรพลอยู่เลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฏฺฐิหายนํ ได้แก่ ผู้มีกำลังกาย
เสื่อมโดยเวลามีอายุ ๖๐ ปี. บทว่า ยสสฺสึ ได้แก่ ผู้เพรียบพร้อม
ด้วยบริวาร. บทว่า ปกฺเขหิ ตํ อญฺชลิกํ ความว่า ข้าพเจ้าขอ
กระทำอัญชลีท่านด้วยปีกทั้งสอง.
พระมหาสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนนางนกไส้ เจ้าอย่าได้คิดเสียใจ
เลย เราจักรักษาบุตรน้อยๆ ของเจ้า แล้วจึงยืนคล่อมอยู่เบื้องบน
ลูกนกทั้งหลาย เมื่อช้างแปดหมื่นเชือกผ่านไปแล้วจึงเรียกนางนกไส้
มาพูดว่า ดูก่อนนางนกไส้ มีช้างเชือกหนึ่งซึ่งมีปกติเที่ยวไปผู้เดียว
จะมาข้างหลังพวกเรา ข้างนั้นจักไม่กระทำตามคำของเราทั้งหลาย
เมื่อช้างนั้นมาถึง เจ้าพึงอ้อนวอนช้างแม้นั้น กระทำความปลอดภัย
แก่ลูกน้อยทั้งหลาย ดังนี้แล้วหลีกไป. ฝ่ายนางนกไส้นั้นก็กระทำการ
ต้อนรับช้างนั้นเอาปีกทั้งสองกระทำอัญชลี แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ข้าพเจ้าขอไหว้พระยาช้างผู้เที่ยวไป
ผู้เดียว ผู้อยู่ในป่า เที่ยวหาอาหารกินตาม
เชิงเขา ข้าพเจ้าขอทำอัญชลีท่านด้วยปีก
ทั้งสอง ขอท่านอย่าได้ฆ่าลูกน้อยๆ ของ
ข้าพเจ้า ซึ่งยังมีกำลังทุรพลอยู่.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพตสานุโคจรํ ความว่า
ผู้หาอาหารที่ภูเขาหินทึบและที่ภูเขาดินร่วน.
พระยาช้างนั้นได้ฟังคำของนางนกไส้นั้นแล้ว จึงกล่าวคาถา
ที่ ๓ ว่า :-
แน่ะนางนกไส้ เราจะฆ่าลูกน้อยของ
เจ้าเสีย เจ้ามีกำลังน้อยจักทำอะไรเราได้
เราจะขยี้นกไส้อย่างเจ้าตั้งแสนตัวให้ละเอียด
ด้วยเท้าข้างซ้าย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วธิสฺสามิ เต ความว่า พระยา
ช้างกล่าวว่า เพราะเหตุไร เจ้าจึงวางลูกน้อยทั้งหลายไว้ในทางเป็น
ที่เที่ยวไปของเรา เพราะเหตุที่เจ้าวางไว้ ฉะนั้นเราจึงจักฆ่าลูกน้อย
ทั้งหลายของเจ้า. บทว่า กึ เม ตุวํ กาหสิ ความว่า เจ้าเป็น
ผู้ทุรพลจักกระทำอะไรแก่เราผู้มีเรี่ยวแรงมากมาย. บทว่า โปถเปยฺยํ
ความว่า แม้เราจะพึงทำนางนกไส้เช่นเจ้าตั้งแสนตัวให้แหลกละเอียด
ด้วยเท้าซ้าย ก็จะป่วยกล่าวไปไยถึงเท้าขวา.
ก็แล ครั้นช้างนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ทำลูกน้อยของนางนก
ไส้นั้นให้แหลกละเอียดด้วยเท้า แล้วทำให้ลอยไปด้วยน้ำมูตร ร้อง
บันลือเสียงแล้วก็หลีกไป. นางนกไส้จับอยู่ที่กิ่งไม้จึงกล่าวว่า แน่ะช้าง
บัดนี้ เจ้าจงบันลือไปก่อน ต่อล่วงไป ๒-๓ วัน เจ้าจักเห็นการ
กระทำของเรา เจ้าย่อมไม่รู้ว่ากำลังความรู้ยิ่งใหญ่กว่ากำลังกายข้อนั้น
จงยกให้เรา เราจักให้เจ้ารู้กำลังความรู้นั้น เมื่อจะคุกคามข้างนั้น
จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
กิจที่จะพึงทำด้วยกำลังกายย่อมสำเร็จ
ไม่ได้ในที่ทั้งปวง เพราะกำลังกายของตน
พาล ย่อมมีเพื่อฆ่าคนอื่น แน่ะพระยาช้าง
ท่านผู้ใดฆ่าลูกน้อยๆ ของเราผู้มีกำลังทุรพล
เราจักทำสิ่งที่ไม่ใช่ความเจริญให้แก่ท่านผู้
นั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พเลน ได้แก่ กำลังกาย. บทว่า
อนตฺถํ ได้แก่ ความไม่เจริญ. บทว่า โย เม ความว่า ท่านผู้ใด
ฆ่าคือพิฆาตลูกน้อยๆ ผู้ยังทุรพลของเรา.
นางนกไส้นั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงอุปัฏฐากกาตัวหนึ่ง
อยู่ ๒ - ๓ วัน อันกานั้นยินดีแล้วจึงกล่าวว่า เราจะกระทำอะไร
ให้แก่ท่าน จึงกล่าวว่า นาย กิจอย่างอื่นที่ท่านจะพึงทำแก่ข้าพเจ้าไม่มี
แต่ข้าพเจ้าหวังให้ท่านเอาจะงอยปากประหารนัยน์ตาทั้งสองข้างของช้าง
ที่มีปกติเที่ยวไปผู้เดียวเชือกหนึ่งให้แตก. นางนกไส้นั้นอันกานั้นรับ
คำว่า ได้ จึงไปอุปัฏฐากแมลงวันหัวเขียวตัวหนึ่ง อันแมลงวัน
หัวเขียวแม้นั้นก็กล่าวว่า เราจะทำอะไรให้แก่ท่าน จึงกล่าวว่า เมื่อ
นัยน์ตาทั้งสองข้างของช้างที่มีปกติเที่ยวไปผู้เดียว แตกไปเพราะเหตุ
นี้แล้ว ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านหยอดไข่ขังลงในนัยน์ตาทั้งสองข้าง
นั้น เมื่อแมลงวันหัวเขียวแม้นั้นกล่าวว่า ได้ จึงไปอุปัฏฐากกบตัวหนึ่ง
อันกบนั้นกล่าวว่า เราจะทำอะไรให้แก่ท่าน จึงกล่าวว่า ในกาลใด
ช้างตัวหนึ่งที่มีปกติเที่ยวไปผู้เดียว เป็นช้างตาบอดแล้วเที่ยวแสวงหา
น้ำดื่ม ในกาลนั้น ท่านพึงเกาะอยู่ที่ยอดเขาแล้วส่งเสียงร้อง เมื่อ
ช้างนั้นขึ้นถึงยอดเขา พึงลงมาส่งเสียงร้องอยู่ที่เหว ข้าพเจ้าหวัง
การกระทำมีประมาณเท่านี้จากสำนักของท่าน. กบนั้นได้ฟังคำของ
นางนกไส้นั้นแล้ว จึงรับคำว่า ได้. อยู่มาวันหนึ่งกาเอาจะงอยปาก
ทำลายตาทั้งสองข้างของช้างแตกแล้ว. แมลงวันจึงหยอดไข่ขังลงไป
ที่นัยน์ตา. ช้างนั้นถูกตัวหนอนทั้งหลายชอนไชอยู่ ได้รับทุกขเวทนา
อยากจะดื่มน้ำเป็นกำลัง จึงเที่ยวแสวงหาน้ำดื่ม. ในกาลนั้น กบจึง
เกาะอยู่บนยอดเขาส่งเสียงร้อง ช้างคิดว่า น้ำดื่มจักมี ณ ที่นี้ จึงขึ้น
ไปยังภูเขา. ลำดับนั้น กบจึงลงมาเกาะอยู่ที่เหวส่งเสียงร้อง. ช้าง
คิดว่า น้ำดื่มจักมี จึงบ่ายหน้าไปทางเหว ได้ลื่นพลัดตกลงไปที่
เชิงเขาถึงสิ้นชีวิต. นางนกไส้รู้ว่าช้างนั้นตายแล้ว จึงร่าเริงดีใจว่า
เราเห็นหลังปัจจามิตร (ศัตรู) แล้ว จึงเดินไปๆ มาๆ บนร่างของช้างนั้น
แล้วก็ไปตามยถากรรม.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าเวร ไม่ควร
ทำกับใครๆ สัตว์ทั้ง ๔ เหล่านี้ ร่วมกันแล้ว ทำช้างผู้ถึงพร้อมด้วย
กำลัง ให้ถึงสิ้นชีวิตได้ แล้วตรัสอภิสัมพุทธคาถานี้ว่า :-
ท่านจงดูกา นางนกไส้ กบ และ
แมลงวันหัวเขียว สัตว์ทั้ง ๔ เหล่านี้ได้ร่วม
ใจกันฆ่าช้างเสียได้ ท่านทั้งหลายจงเห็นคติ
แห่งเวรของตนผู้มีเวรทั้งหลาย เพราะเหตุ
นั้นแล ท่านทั้งหลายอย่าพึงกระทำเวรกับ
ใครๆ แม้ผู้ไม่เป็นที่รักใคร่เลย.
ครั้นตรัสแล้ว จึงทรงประชุมชาดก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปสฺส นี้ เป็นคำเรียกซึ่งไม่
กำหนดแน่นอนลงไป. แต่เพราะตรัสหมายเอาภิกษุทั้งหลาย จึงเป็น
อันตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทั้งหลายจงเห็น. บทว่า เอเต
ได้แก่ สัตว์ทั้ง ๔ ได้รวมกัน. บทว่า อฆาเตสุ ได้แก่ ฆ่าช้างนั้น.
บทว่า ปสฺส เวรสฺส เวรินํ ความว่า ท่านทั้งหลายจงเห็น
คติแห่งเวรของคนที่มีเวรกัน.
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า ช้างตัวที่มีปกติเที่ยวไปผู้เดียว ในกาลนั้น ได้เป็น
พระเทวทัต ส่วนช้างจ่าโขลงในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาลฏุกิกชาดกที่ ๗