ผมควรทำอย่างไรดีครับ
ผมควรทำอย่างไรดีครับ ผมมีปัญหาทางครอบครัวครับ กำลังจะแยกทางกันเนื่อง จากเราไม่ค่อยจะเข้าใจซึ่งกันและกัน ผมคงทำงานส่วนรวมมากกว่าส่วนตัวครับ เพราะ คิดว่าเธอคงเข้าใจ และก็ศึกษาธรรมของท่านอาจารย์ด้วย พอมีเรื่องทะเลาะกันเธอก็ มักจะถามว่าทำไมศึกษาธรรมแล้วต้องมาทะเลาะกันด้วย ธรรมไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ ทั้งๆ ที่บางครั้งเธอเริ่มก่อน ผมสับสนครับ บางครั้งผมก็มีจิตใจดีกับทุกคนที่อยู่รอบข้างช่วยอะไรได้ก็ช่วย คนรู้จักเขาขอไปส่งที่นั้นที่นี้ผมก็บอกเธอทุกครั้ง และก็คิดว่าเธอคง เข้าใจ แต่ก็ไม่ กลับมาก็ทะเลาะกันทุกครั้ง แต่เธอก็ดีครับขยันทำงานเพียงแต่ไม่เข้า ใจการทำงานของผม ผมควรทำอย่างไรดีครับอนุโมทนา สาธุ ครับ
ผมควรทำอย่างไรดีครับ ...
เป็นเรื่องยาก ที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก.....เอาเป็นว่าขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นะครับ ขณะที่กำลังจะแลกเปลี่ยนความเห็นนี้ผมกำลังฟัง MP 3 ชุดปกิณณกธรรม แผ่นที่ 1 ตอนที่ 14 อยู่พอดีครับ มีคนถามท่านอาจารย์ว่าเมื่อมีปัญหา ฯลฯ แล้วจะให้ทำอย่างไร? ท่านตอบว่า ...ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ให้ปัญญาเกิดทำหน้าที่ของปัญญา
1. พอมีเรื่องทะเลาะกันเธอก็มักจะถามว่าทำไมศึกษาธรรมแล้วต้องมาทะเลาะกันด้วย ธรรมไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ ทั้งๆ ที่บางครั้งเธอเริ่มก่อน
ความเห็นคือ ฟังพระธรรม เพื่อให้เข้าใจว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยที่จะทะเลาะไม่ว่าใครจะเริ่มต้นก่อนก็ตาม เพื่อให้เราเห็นความจริงว่าถึงเวลาที่อกุศลกรรมจะให้ผลก็ย่อมจะทำให้ได้ยินเสียงที่ไม่ดีกรณีนี้อาจจะจากคู่ครองของเราทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำ อย่างที่เขาคิดก็ได้ พร้อมทั้งควรให้อภัยที่เธอเข้าใจผิดแถมยังพูดผิดอีกด้วย ถ้าจะมี เหตุการณ์อย่างนี้อีกก็คงต้องปล่อยให้เธอว่าของเธอไปก่อน เมื่อเธอใจเย็นลงที่จะพอ รับฟังได้ ค่อยพูดคุยทำความเข้าใจ เปิดชุดบารมีในชีวิตประจำวันฟัง โดยเฉพาะขันติบารมี นะครับ
2. แต่เธอก็ดีครับขยันทำงาน เพียงแต่ไม่เข้าใจการทำงานของผม
ความเห็นก็คือ ฟังพระธรรม อีกนั่นและครับ เพื่อให้เข้าใจตัวเอง เพื่อจะเข้าใจ และเห็นใจเธอยิ่งขึ้น ถ้าเกิดเลิกรากันไปแล้วไม่สงสารเธอเหรอครับ แล้วเธอจะ ลำบากทำมาหาเลี้ยงชีพหรือไม่ จะมีคนใหม่มาเห็นใจและเข้าใจเธอหรือ ถ้าเรามีโอกาส ที่จะให้อภัยก็น่าจะทำให้อภัยเธอเถอะครับ อย่าละเว้นโอกาสเจริญกุศลนี้เลย แถม เธอก็เป็นคนขยันขันแข็งดีอีก และถ้ามีโอกาสก็พาเธอมาดูการทำงานของเราเพื่อให้ เข้าใจมากขึ้น มีโอกาสพาไปด้วยก็พาไปครับ ถ้าจะให้ดีก็ชักชวนเธอฟังพระธรรมด้วยกัน แต่อันหลังนี้ยากมากนะครับ เอาเป็นว่า เราฟังเองนี่แหละคือคำตอบ ยากนะครับ แต่ก็ขอให้กำลังใจ ให้อดทนเพื่อเจริญกุศลทุกประการ และเหตุการณ์นี้ก็เป็นแบบ ทดสอบในการเจริญกุศลของจริงด้วยนะครับ สอบผ่านแล้วอย่าลืมแจ้งให้ทราบ เพื่อจะได้อนุโมทนาด้วยนะครับ
สวัสดีครับพี่เจิด
ผมคิดว่าการคิดแทนว่า เขาคงจะเข้าใจเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลต้องอธิบาย หรือบอก ถึงเหตุผลที่จำเป็นของคุณมากกว่าเพราะถ้าหากว่าครอบครัวของคุณต้องแยกทางกัน ละก็ ผมคงต้องเสียใจ เพราะคุณทั้งสองเป็นคนดีผมคิดว่าลองคุยกันก่อนนะครับ สำหรับเรื่องธรรมนั้นบางคนไม่เข้าใจ ก็ว่าการศึกษาธรรมนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ผมคิดว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าไม่ว่าจะทำอะไรสภาพธรรมก็มี ก็ปรากฏ- อยู่ แต่อยู่ที่ตัวผู้ศึกษาเท่านั้นว่าจะทราบหรือไม่ (ผมเป็นคนมีความรู้น้อย หากมี อะไรล่วงเกินละก็ต้องขออภัยด้วยครับ)
ขอยกข้อความโดยย่อบางตอนจาก อรรถกาสาเกตชาดกที่ ๗ ให้ พิจารณาแทนการแนะนำ ข้อความบางตอนมีว่า ภิกษุทั้งหลายทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชื่อว่า ความรักนี้ ตั้งอยู่ได้อย่างไร"
"เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้ พอเห็นกันเข้าก็เฉยๆ หัวใจก็เฉยๆ บางคนพอเห็นกันเข้าก็เลื่อมใส เยื่อใยต่อกันด้วยอำนาจความรัก บางคนก็ไม่มีเยื่อใยต่อกัน พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงเหตุ แห่งความรัก จึงตรัสเนื้อความแห่งคาถาว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดาความรักนี้ย่อมเกิดเด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ได้เป็นมารดา บิดา ธิดา บุตร พี่น้องชาย-หญิง สามี ภรรยา หรือสหาย มิตรกันในภพก่อน เคยอยู่ร่วมที่เคียงกันมา ความรักนั้นย่อมไม่ละ คงติดตามไป แม้ในภพอื่น เพราะการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน อีกอย่างหนึ่ง ความรักนั้น ย่อมเกิดเพราะ ความเกื้อกูลกันในปัจจุบันอันได้ทำในอัตภาพนี้ ความรัก ย่อมเกิดด้วยเหตุ ๒ ประการ
เราไม่อาจจะรู้ได้ว่า ความรักของเราเกิดจากเหตุ ๒ ประการนี้หรือ เปล่า และคงรู้ไม่ได้ว่า ขณะต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับความรักนั้น เพราะ ทุกอย่างเป็นอนัตตา เอาเป็นว่า ทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด หวังว่าความรัก ของคุณทั้งสองเกิดจากสองเหตุนั้น และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมเสมอ
Love her like you love yourself and treat her like you want to be treated. Be kind...be loving...and be forgiving.
การศึกษาธรรมะอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความเข้าใจที่แท้จริง จะค่อยๆ เปลี่ยน " ความรัก " ให้เป็น " ความเมตตา " ได้ ทำให้อยู่ร่วมกันได้ยาวนานและมี ประสิทธิภาพกว่า ทั้งนี้ต้องอาศัยเวลาและความอดทนเป็นอย่างสูง ซึ่งแต่ละบุคคล ก็จะทำได้ไม่เท่ากัน.....
สวัสดีครับ เมื่อก่อนที่ผมเริ่มสนใจธรรมก็มีความคิดอยากจะเข้ามาช่วยเหลืองานด้านทางธรรม มากเลยแต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเรามีครอบครัวที่จะต้องรับผิดชอบ และหน้าที่การงานอีก ทั้งบ้านอยู่ไกลด้วย แต่ก็มีใจอยากจะมาช่วยอยากจะมาฟังมากอยู่ รู้สึกสับสนเหมือน กันพักหนึ่ง แต่นั่งคิดอยู่หลายวันก็คิดได้ว่าฟังธรรมจากเทปจากซีดีจากเอ็มพีสาม อ่านจากหนังสือก็ได้ก็เหมือนมาฟังที่มูลนิธิเหมือนกัน และการที่จะเข้าไปช่วยงานทาง ธรรม ก็ต้องดูความเหมาะสม
จากการที่คุณเล่ามา ก็มาจากการเข้าไปช่วยงานทางธรรม ผมว่าเดินสายกลาง คือลดงานช่วยทางธรรมลง ปัญหาน่าจะดีขึ้น และถึงตัวผมเองถ้าเข้าไปช่วยงานทาง ธรรมมากมากภรรยาผมก็คงจะไม่ค่อยพอใจก็ได้ ถึงแม้เราจะไปทำในสิ่งที่ดีก็ตาม เพราะสภาพความคิดของแต่ละคนไม่เท่ากัน รอให้สภาพความคิดความเข้าใจในสิ่ง ต่างๆ ด้านต่างๆ ของภรรยา ค่อยๆ เข้าใจมากขึ้น ก็ค่อยมาช่วยงานทางธรรม ก็ได้ ครับ ไม่เห็นจะต้องรีบร้อนเลย ช่วยงานทางธรรมมากมากแล้วครอบครัวแตกแยก ก็ไม่- เหมาะสมนะครับจะทำให้คนรอบข้างมองการช่วยงานทางธรรมเป็นสิ่งไม่ดี ไม่เหมาะสม กับการมีครอบครัวได้
วิธีคิดของผมก็คล้ายๆ คุณเหมือนกัน คืออยากจะเข้าไปช่วยงานทางธรรมมาก แต่มาคิดอีกทีเราช่วยตัวเองก่อน โดยศึกษาธรรมให้มากมาก ให้เข้าใจให้ดีจริงๆ แม้ จะเป็นหมวดเล็กๆ แต่คิดว่าธรรมถึงกันหมด เอื้อต่อกันทุกหมวดแล้วผมก็เล่าความ ก้าวหน้าทางธรรมให้ภรรยาฟัง เวลาเห็นสภาพธรรมอะไรเกิดขึ้นก็อธิบายให้ภรรยาฟัง บ้างให้ลูกฟังบ้างเขาจะเข้าใจไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรก็ค่อยๆ อธิบายไปเรื่อยๆ ที่ละ เหตุการณ์ บางครั้งลูกและภรรยาเองก็เอ่ยเรื่องสภาพธรรมขึ้นมาเองด้วยซ้ำผมก็งง งง เหมือนกัน แสดงว่านานนานเข้าก็ซึมซับได้บ้างเหมือนกันนะครับ เดินสายกลางของ แน่นอนครับ ตึงไปภรรยาไม่เข้าใจ หย่อนไปเรารู้ธรรมน้อยไม่ละเอียด วิธีแก้ของผมที่ หย่อนไปคือศึกษาที่บ้านครับ กลางคืนปลีกตัวเข้าห้องหรือที่ว่างๆ เงียบ ศึกษา ฟัง เทป วันหยุดก็ทำแบบนี้ครับ ไม่ต้องรีบร้อนครับ แต่สม่ำเสมอ น่าจะไปได้สวยนะครับ อันนี้ประสบการณ์จริงของผมนะครับผมว่าเหมือนคุณนะครับ ขอเป็นกำลังใจนะ- ครับเหตุการณ์ยังแก้ไขได้นะครับ ไม่ยากเย็นหรอกทบทวนดูดีดีนะครับ เส้นผมบางๆ หนึ่งเส้นบังภูเขาทั้งลูกได้นะครับ แต่จะหยิบเส้นผมออกก็หยิบได้ง่ายนะครับ เส้นเล็ก นิดเดียวไม่เกินความสามารถหรอกครับ ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดครับ 081 297-2401
ธรรมะของพระพุทธองค์ สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกปัญหา ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ในชีวิตประจำวัน ธรรมะสามารถแก้ไขได้ ต้องดูที่เหตุและปัจจัย ใช้สติกับปัญญาคอย หาทางแก้ไข ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอะไร ถ้าไม่ลงตัวจริงๆ อาจเป็นวิบากกรรมที่ คุณเองจะต้องชดใช้ และต้องยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมขอเป็นกำลังใจให้คุณ เจิดอีกหนึ่งแรง
ดิฉันเคยมีประสบการณ์ คล้ายๆ เช่นนี้เหมือนกัน แฟนไม่มีเวลาให้ บางทีหายไป 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้างแต่ก็โทรมาหาบ้างเป็นระยะ (ในช่วงที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน) ทำให้เกิดความคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา ตามประสาผู้หญิง เกือบจะเลิกกันหลาย ครั้ง แต่สุดท้ายก็แต่งงานกัน และหลังแต่งงานก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่เข้าใจว่ามัน เป็นงาน และก็เป็นเพราะงานที่เขาทำจริงๆ ถ้าวันนั้นตัดสินใจเลิกเพราะความคิด ฟุ้งซ่าน และการปรุงแต่งของใจเราเอง ก็คงไม่ได้แต่งงานกัน และที่สุดของที่สุดก็ คิดได้ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม (อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด)
สวัสดีครับ
ก่อนอื่นผมขอเป็นกำลังใจให้กับคุณเจิดและครอบครัว ให้สามารถผ่านพ้นปัญหาในครั้งนี้ไปได้ด้วยดี และก็อยากให้คุณเจิดมีความมั่นใจว่า พระธรรมช่วยแก้ปัญหา ชีวิตของเราได้อย่างแน่นอน หากเราศึกษาให้เข้าใจ และนำไปใช้อย่างเหมาะสม ผมคิดว่าคงไม่มีผู้ใดให้คำแนะนำคุณเจิดได้ดีเทียบเท่ากับพระธรรม อันเป็นพระดำรัสอันประเสริฐ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำแก่หมู่เวไนยสัตว์ ให้พ้นจากความทุกข์และปัญหาทั้งปวง ผมขอนำข้อความ ที่ผมนำมาพิจารณาอยู่ บ่อยๆ ในการดำรงชีวิตครอบครัวของตัวเองครับ
“ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีพึง บำรุงด้วยสถาน ๕ คือ ด้วยยกย่องว่าเป็นภรรยา ๑ ด้วยไม่ดูหมิ่น ๑ ด้วยไม่ประพฤตินอกใจ ๑ ด้วยมอบความเป็นใหญ่ให้ ๑ ด้วยให้เครื่องแต่งตัว ๑. ดูก่อนคฤหบดีบุตร ภรรยาผู้เป็นทิศเบื้องหลัง อันสามีบำรุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี้แล้ว ย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือ จัดการงานดี ๑ สงเคราะห์คนข้าง เคียงสามีดี ๑ ไม่ประพฤตินอกใจสามี ๑ รักษาทรัพย์ที่สามีหามาให้ ๑ ขยันไม่ เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง ๑.”
ผมใช้ข้อความข้างต้นนี้เป็นหลัก ในการปฏิบัติต่อภรรยาครับ และก็ไม่คาด หวังให้ภรรยาทำอะไรให้ผมมากเกินไปกว่านี้
" ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ เป็นการยาก, ชีวิต ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ยาก, การฟังพระสัทธรรม เป็นของยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นการยาก. "
ผมคิดว่าแม้แต่ชีวิตของเราผู้เดียว ก็เป็นอยู่ยาก ดังนั้น การใช้ชีวิต เป็นครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สิ่งที่เราพอจะทำได้ คือ ฟังพระสัทธรรม และ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ส่วนความเป็นไปต่างๆ ในชีวิตนั้นเป็นไปตามการสะสม ของกรรมและกิเลส และเป็นอนัตตา มีเหตุและปัจจัยมากมายที่ทำให้คนเราได้ เกิดมาในอัตภาพนี้ ในภพนี้ ได้พบกัน ได้อยู่ร่วมกันหรือต้องพลัดพรากจากกัน ความทุกข์ที่เกิดจากชีวิตครอบครัวนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความทุกข์ ในสังสาวัฏฏ์ ขอให้คุณเจิดอดทน และศึกษาพระธรรมต่อไป ผมเชื่อว่าปัญหา ทุกอย่างจะคลี่คลายในที่สุดครับ
ก็ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ช่วยกันแสดงความคิดเห็นและเห็นใจคุณเจิดจากการ ที่ได้ศึกษาพระธรรมฟังการบรรยายธรรมโดยท่านอ.สุจินต์ และคณะวิทยากรของ มูลนิธิฯทั้งทางวิทยุ ฟังเอ็มพี ๓ เทป ซีดี และการอ่านหนังสือของมูลนิธิฯเองหรือ แม้แต่ไปฟังการบรรยายตามสถานที่ต่างๆ ที่ท่านถูกเชิญไป ทำให้เกิดความรู้ ความ เข้าใจในเรื่องธรรมะมากขึ้น ตามลำดับ แม้กระทั่งมาอ่านความเห็นต่างๆ ที่แสดง ในกระดานสนทนาโดยเฉพาะการตอบปัญหาชีวิตของคุณเจิด รู้สึกได้ว่าทุกท่านได้ มีเมตตากรุณาอย่างสูงต่อผู้ที่กำลังทุกข์ใจ นั่นแสดงให้เห็นว่าเราเป็นกัลยาณมิตรใน ทางธรรม
ผู้ที่ศึกษาพระธรรมในแนวทางของท่านอ.สุจินต์ไม่ว่าจะใช้เวลามานานเท่าใด ก็ถือว่าเป็นผู้กำลังเดินมาถูกทางแล้ว แม้การเข้าใจในสภาพธรรมอาจหยาบละเอียด แตกต่างระดับกันไปบ้างตามการสะสม แต่มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ จากการให้ความเห็น ของแต่ละท่าน นั่นคือการเข้าใจถึงปัญหาชีวิต และการนำธรรมะมาแก้ไข หรือช่วยผ่อนคลายปัญหาไปในทิศทางเดียวกันนั่น คือ การเจริญเมตตา กรุณา อยากบอกคุณเจิดว่า เมื่อเราเร่าร้อนกระวนกระวายใจจากสิ่งภายนอก การทำให้ใจ เย็นลงคลายความเร่าร้อนได้ก็ด้วยพระธรรมเหล่านี้ค่ะ เราไปแก้ไขคนอื่นในขณะนั้น ไม่ได้หรอก ขณะที่อกุศลจิตเกิดสติไม่เกิดค่ะ แล้วจะไปทำอะไรได้ถ้าการฟัง การเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฎฐานยังไม่มั่นคงพอ เราเป็นผู้ศึกษาพระธรรม แต่เขายัง ความแตกต่างทางความรู้ความเข้าใจก็มีแล้วต้องให้อภัยเขาค่ะ เพราะเรารู้แล้วว่า อกุศลจิตไม่ดี ก็ให้อยู่แค่ในใจ ระดับพระอนาคามีขึ้นไปเท่านั้นที่ไม่มีโทสมูลจิต และถ้าแสดงออกมาเป็นอกุศลกรรมก็มีแต่โทษต่อกันเท่านั้น เมตตากรุณาต่อเขา เข้าใจสภาวะจิตในขณะโกรธทั้งเราและเขา แต่เราเป็นผู้รู้กว่าก็ต้องเริ่มที่เราก่อนนะ- คะ ต้องดับที่ใจเราก่อน กุศลจิตเป็นของเย็น อกุศลจิตเป็นของร้อนควรเจริญอะไร ไว้ก็คิดดูนะคะ
ฟังพระธรรมให้เข้าใจให้มาก และเจริญกุศลทุกประการเมื่อเราเข้าใจมากขึ้นๆ ก็จะเข้าใจในจิตของเรา และของคนอื่นก็เช่นเดียวกันให้กำลังใจนะคะ แต่อะไร จะเกิดก็ต้องเกิด เพราะได้สร้างเหตุไว้แล้วในอดีตกลับมาสร้างเหตุดีในปัจจุบัน ให้ดีที่สุดตามแนวทางของท่านอจ.สุจินต์ต่อไป อย่าหยุดนะคะ