แสงธรรมสาดส่องที่เวียดนาม 7
หวฺงเต่าเป็นเมืองชายทะเลเล็กๆ แต่ร่ำรวยที่สุดของเวียดนาม มีประชากรไม่กี่แสน มีโรงแรมที่ปรับปรุงจากบ้านฝรั่งเศสริมทะเลหลายแห่ง และที่กำลังก่อสร้างอีกมากมาย ในวันทำงานถนนหนทางเงียบเหงามาก เพราะอากาศร้อนจัด แต่ในตอนเย็น โดยเฉพาะวันหยุดมีผู้คนมาเดินเล่น ทานอาหารตามภัตตาคารริมทะเลมากมาย ได้ทราบว่า คนเหล่านี้นอกจากเป็นนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นคนที่ทำงานในไซ่ง่อน แล้วมีบ้านที่หวฺงเต่าไว้พักผ่อนในวันหยุด สำหรับสหายธรรมทั้งไทยและเวียดนามก็ยังคงสนทนาธรรมทั้งเช้าและบ่ายในโรงแรมทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาคภาษาไทย
ห้องประชุมที่สนทนาภาคภาษาอังกฤษนั้นคับคั่งมาก เกือบไม่มีที่นั่ง แต่ต้องพยายาม เข้าไปฟังให้ได้ จะได้มีธรรมะไว้รายงาน เพราะท่านจักรกฤษณ์กับคุณแอ๋วกลับไปแล้ว ไม่มีผู้รายงานเหมือนเดิม จำมาได้นิดหน่อย ไม่สามารถเขียนทั้งอังกฤษและแปลไทย อย่างท่านได้ ขอนำมาเล่าตามตวามเข้าใจของตัวเองก็แล้วกันนะคะ
ถาม : วิตกกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเสมอ ควรทำอย่างไร
ท่านอาจารย์ : สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็ไม่พ้นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก เหมือนในขณะนี้นั่นเอง ไม่มีอะไรต่างกันเลย แต่ละอย่างเป็นธรรมะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก ความวิตกกังวลก็เป็นธรรมะที่เกิดแล้วก็ดับไปเช่นกัน จึงไม่ใช่เราที่วิตกกังวลที่จะต้องทำอย่างไร เพราะไม่มีใครทำอะไรสภาพธรรมที่เกิดแล้วจึงปรากฏได้ เพราะเกิดแล้วก็ดับทันที ไม่ทันทำอะไรได้ ฟังแล้ว พิจารณาให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วดับไป ไม่ใช่เรา การจะเข้าใจว่าในห้องนี้ไม่มีใคร มีแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องใช้เวลา ไม่สามารถรู้ได้ ทันทีเมื่อได้ฟัง แต่ต้องฟังแล้วฟังอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก จนเป็นความเข้าใจ ขั้นปริยัติของตนเอง แล้วปฏิปัตติถึงเฉพาะ คือรู้ตรงลักษณะนั้นจริงๆ บ่อยๆ เนืองๆ จึง จะถึงขั้นประจักษ์แทงตลอดตามที่ได้ฟังจริงๆ
ถาม : ลักษณะของความนึกคิดเป็นอย่างไร
ตอบ : แม้ไม่เห็นก็คิดได้ ไม่ได้ยินก็คิดได้ อย่างความฝัน ไม่เห็นก็คิดถึงสิ่งที่เคยเห็น แต่ก็ไม่เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้ ฝันแล้วตื่นขึ้นก็รู้ว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เป็นเพียงความฝัน หรือความคิดเท่านั้น เพราะไม่เข้าใจว่า ความฝันก็คือความคิดซึ่งแตกต่างกันไปตามการ สะสม จึงยอมรับได้ว่า คนเราฝันไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา แต่ถ้าความคิดต่างกัน ทำไม ถึงต้องขัดแย้งกันจนเกิดศึกสงคราม ยิ่งทำให้เห็นโทษของความไม่รู้มากขึ้น
ชีวิตก็เหมือนความฝัน โดยมีเห็นคั่น ได้ยินคั่น ได้กลิ่นคั่น ลิ้มรสคั่น กระทบสัมผัสทาง กายคั่น ตื่นแล้วไม่มีอะไรเหลือ แต่เพราะยังไม่ตื่น จึงยังคงเป็นเราที่เห็น เราที่ได้ยิน เราที่คิดนึก เราเป็นสุขเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงตื่นแล้วจึงทรงปลุกให้ตื่นจากความฝัน ให้รู้ว่า เป็นเพียงความฝัน ไม่ใช่ความจริง ที่ไม่มีอะไรเหลือให้ยึดถือว่า เป็นเรา เป็นของ เราเลย สิ่งที่เกิดในโลกนี้ก็ปรากฏเพียงชาตินี้ เห็น ได้ยิน แล้วก็ดับไป เราอยู่ที่ไหน ความจริงของโลกคือมืด ยกเว้นขณะที่เห็น จำมาได้เท่านี้ค่ะ แต่แค่นี้ถ้าได้พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ ก็เป็นประโยชน์มหาศาล (อันนี้ บอกตัวเอง)
สนทนาธรรมที่ห้องประชุมในโรงแรมกีหว่า ในตอนเช้า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์กาญจนา เป็นอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
"การจะเข้าใจว่าในห้องนี้ไม่มีใคร มีแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ต้องใช้เวลา ไม่สามารถรู้ได้ทันทีเมื่อได้ฟัง แต่ต้องฟังแล้วฟังอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก จนเป็นความเข้าใจขั้นปริยัติของตนเอง แล้วปฏิปัตติถึงเฉพาะ คือรู้ตรงลักษณะนั้นจริงๆ บ่อยๆ เนืองๆ จึงจะถึงขั้นประจักษ์แทงตลอดตามที่ได้ฟังจริงๆ "
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงที่ทั้งรายงานข่าวทั้งภายในภายนอกห้องสนทนา งานหนักนิดนะครับ แต่สรุปคำบรรยายท่านอาจารย์ของพี่แดงเป็นประโยชน์มากๆ ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอีกครั้ง และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อ่านดีมาก ครับ เป็นประโยชน์อย่าง ครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของอาจารย์กาญจนา มา ณ ที่นี้ด้วยครับ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ