กรรม
ผัสสะ (กรรม) ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งเกิดจากอนุสัยที่ได้สั่งสมให้นอนเนื่่องอยู่ในจิตมา
ยาวนานนั้นส่งผลตามเหตุและปัจจัย แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่สามารถเปลี่ยน
แปลงสัจจะความเป็นจริงในเรื่องของ "โลก" ไปได้ ท่านก็ต้องมีชีวิตที่เป็นไปตามเหตุ
ปัจจัย ซึ่งเหตุและปัจจัย (กรรม) นั้นๆ อาจจะลดลง หรือเบาบางลง หรือหมดไปตาม
กำลังนั้นๆ ได้ด้วยเพราะท่านมีสติปัญญา รู้แจ้งซึ่ง "โลก" ตลอดเวลา
ผัสสะ หรือเหตุปัจจัย (กรรม) ยังคงมีอยู่ และเกิดขึ้นตามอนุสัยเดิมที่ท่านสั่งสมเอาไว้
เพราะเป็นไปตามธรรดาของ "โลก" จะเป็นไปจนกว่าท่านจะละสังขาร ที่สำคัญ ผัสสะ
หรือเหตุปัจจัย เป็นเพียงกริยาจิตสำหรับท่านเท่านั้น
คำถาม : ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นผิดถูกประการใด โปรดอธิบายขยายความ ถ้าผิด ผิด
อย่างไร ถ้าถูกถูกอย่างไรด้วยค่ะ
อนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
ก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย
เพราะจากข้อความที่อ่านในประเด็นคำถาม ก็ควรที่ได้พิจารณาในคำแต่ละคำที่
กล่าวถึงด้วย เป็นเบื้องต้น ดังนี้
-ผัสสะ ไม่ใช่กรรม ผัสสะเป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดกับจิตทุกขณะ เป็นสภาพ
ธรรมที่กระทบอารมณ์ ทุกขณะที่จิตเกิดขึ้นก็จะมีผัสสะเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ตราบใด
ก็ตามที่ยังมีจิตเกิดขึ้นเป็นไป ก็จะไม่ปราศจากผัสสะ เลย
-กรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความจงใจที่กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ว่าโดยสภาพ
ธรรมแล้ว ได้แก่ เจตนาเจตสิก ซึ่งตามปกติเจตนาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง ไม่มีจิต
สักประเภทเดียวซึ่งจะขาดเจตนาเจตสิก เพราะฉะนั้น เจตนาเจตสิกที่เกิดกับกุศลก็
เป็นกุศลเจตนา เจตนาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศลเจตนา เจตนาเจตสิกที่เกิด
กับวิบาก เป็นผลของกรรม ก็เป็นเจตนาที่เป็นวิบาก ไม่ใช่เป็นกุศลหรืออกุศลที่เป็น
เหตุ เจตนาที่เกิดกับกิริยาจิตก็ไม่ใช่ทั้งกุศลไม่ใช่ทั้งอกุศล ไม่ใช่ทั้งวิบาก แต่ว่า
เป็นเจตนาที่เป็นเพียงกิริยา เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับไป ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด
วิบากในภายหน้า
-อนุสัย เป็นกิเลสที่ละเอียดมาก นอนเนื่องอยู่ในจิต เพราะเหตุว่า กิเลสมี ๓ ระดับ
คือ กิเลสขั้นหยาบ เห็นได้จากการประพฤติทุจริตประการต่างๆ ล่วงศีลข้อต่างๆ
แสดงให้ทราบว่า กิเลสนั้นหยาบ และมีกำลัง, กิเลสที่ไม่ถึงกับล่วงศีลที่ออกมาเป็น
กายทุจริต วจีทุจริต เมื่อเกิดแล้วแต่ยังไม่แสดงออกให้รู้ได้ในขณะนั้นๆ เป็นกิเลส
ขั้นกลาง เช่น ความขุ่นใจ มีแต่ไม่พูด ไม่แสดงออกทางกาย ทางวาจา หรือโลภะ มี
แต่ไม่แสดงออก ก็ไม่มีผู้อื่นรู้ว่ามีโลภะ กิเลสที่เกิดขึ้นทำกิจการงานร่วมกับจิต กิเลส
ขั้นกลางนี้เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต แต่ยังไม่ถึงกับล่วงศีลหรือกระทำทุจริตกรรม
แต่กิเลสขั้นหยาบ และกิเลสขั้นกลางจะเกิดได้ ก็เพราะเหตุว่ามีกิเลสขั้นละเอียดซึ่ง
เป็นพืชเชื้อที่เป็นเหตุให้กิเลสขั้นกลาง และกิเลสขั้นหยาบเกิดขึ้นได้ ผู้ที่จะดับอนุสัย
กิเลสได้นั้นต้องเป็นพระอริยบุคคลเท่านั้น และจะดับได้อย่างหมดสิ้นโดยประการ
ทั้งปวงเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์
-โลก สภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปแตกสลายไปเป็นธรรมดา ทุกขณะ
เป็นโลก เพราะมีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ไม่พ้นไปจากสภาพธรรม
ที่เกิดขึ้นเป็นไปทางทวารต่างๆ
-พระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวงดับกิเลส
ได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือ ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย
-สังขาร สภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไป
-เหตุปัจจัย สิ่งที่อุปการะเกื้อกูลให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป
ความเป็นจริงของธรรม ที่เป็นสัจจธรรม ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เป็น
จริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น พระอรหันต์ เป็นผู้ดับกิเลสหมดสิ้นแล้วไม่มีอนุสัย
กิเลส ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นเป็นไปอีกเลย ความเป็นไปของท่านก็เป็นไปตามปกติ
ของผู้ที่ดับกิเลสหมดแล้ว มีจิตเพียง ๒ ชาติเท่านั้น คือ วิบากชาติกับ กิริยาชาติ
พระอรหันต์ไม่มีการกระทำที่เป็นบุญหรือเป็นบาปอีกต่อไป แต่ยังมีสภาพธรรมเกิด
ขึ้นเป็นไป กล่าวคือ ยังมีรูปธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ยังมีจิตเกิดขึ้นพร้อมกับเจตสิกที่
เกิดร่วมด้วย ผัสสะ ก็มี เจตนา ก็มี เป็นต้น แต่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลสใดๆ เลยและ
เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้วไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เพราะดับเหตุที่ทำให้
มีการเกิดคือกิเลสได้แล้วนั่นเอง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำหรับสภาพธรรมที่เป็นผัสสะ ไม่ใช่ตัวกรรม แต่ เจตนาเป็นกรรม และ การที่
พระอรหันต์ จะได้รับผลของกรรม ก็มีเหตุจากรรมที่ในอดีตเคยทำไว้ ที่เป็นเจตนาที่
เกิดจากกุศลกรรม อกุศลกรรม ส่วนขณะที่ได้รับผลของกรรม ไม่ใช่ผัสสะ แต่เป็นจิต
ชาติวิบากที่เกิดขึ้น ร่วมกับเจตสิกประเภทต่างๆ มีผัสสะ และ เจตสิกอื่นๆ ด้วย ครับ
ซึ่งพระอรหันต์ ยังมีขันธ์ 5 ย่อมมีเหตุที่จะได้รับผลของกรรมได้ ดั่งเช่น พระพุทธเจ้า
ได้รับกระทบสะเก็ดหินที่พระเทวทัต กลิ้งลงมา ได้รับทุกขเวทนาทางกายอยู่ แต่ จิต
ของพระอรหันต์ ไม่หวั่นไหว ไปตามเวทนา และ วิบากที่เกิดขึ้น ครับ
ส่วนกรรม และ ผัสสะ ของพระอรหันต์ ไม่ได้เกิดเป็นไปตามอนุสัยแล้ว แต่เกิด
จาก กรรมในอดีตที่เคยทำไว้ และที่สำคัญ เมื่อเป็นพระอรหันต์ ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า
ย่อมละอนุสัย คือ กิเลสที่นอนเนื่องหมดสิ้น แต่ยังมีอาสยะ การสะสมมาที่เป็นอุปนิสัย
ได้ แต่อาสยะนั้นก็ไม่เป็นปัจจัยเกิดกรรมและวิบาก แต่กรรมที่เคยทำในอดีต ย่อมเป็น
ปัจจัยให้เกิดวิบากได้ ครับ ส่วนที่กล่าวว่า ที่สำคัญ ผัสสะ หรือเหตุปัจจัย เป็นเพียง
กริยาจิตสำหรับท่านเท่านั้น
ในความเป็นจริง ผัสสเจตสิก เกิดกับจิตทุกประเภท ครับ เพราะฉะนั้น จิตของ
พระอรหันต์ มี สองชาติ คือ ผลของกรรมที่เป็นวิบากจิต และ กิริยาจิต เพราะฉะนั้น
ผัสสเจตสิก เกิดกับ วิบากจิตก็ได้ และ กิริยาจิตก็ได้ ส่วนเหตุปัจจัย มีหลายปัจจัย
มาก ไม่ใช่เพียงเป็นปัจจัยที่เป็นเพียงกิริยาจิตเท่านั้น แม้เหตุปัจจัยที่เป็นไปในวิบาก
จิตก็ได้ เช่น วิปากปัจจัย เป็นต้น ครับ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคะ
ขอเรียนถามเพิ่มเติมดังนี้คะ ............
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมว่ามี 4 ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก และกริยา คนทั่วไปมี
ทั้ง 4 แต่พระอรหันต์มีเพียง 2
กรรม = ผลของการกระทำ อันเป็นผลมาจาก 4 ชาติ มี กุศล อกุศล วิบาก และกริยา
= ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น สภาพธรรม
เมื่อมีเหตุปัจจัย (ภพชาติ) ก็ย่อมได้รับ กรรมอยู่ (สภาพธรรม)
พระองค์ทรงสอนเอาไว้ว่า ที่จริงแล้ว ไม่มีสัตว์ บุคคล ที่เป็นผู้กระทำ หรือถูกกระทำ
แต่เป็นกระแสของกฏอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาท
สภาพธรรม (กรรม) ที่เกิดขึ้นเป็นไปกับทวารทั้ง 6 เป็นกระแสของกฏอิทัปปัจจยตา
หรือปฏิจจสมุปบาท ที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้น
แม้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่เนื่องจากยังมีก้อนกายอยู่ ที่ซึ่งทำให้เกิดเหตุ
ปัจจัยก็ยังต้องอยู่ภายใต้กฏอิทัปปจัยจตา อันมี กุศล อกุศล วิบาก และกริยา
ไม่ว่าจะอย่างไร ที่เป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน ต้องอยู่ภายใต้กฏอิทัปปจัยจตา ทั้งสิ้น แต่
สิ่งที่พระอรหันต์แตกต่างไปคือเมื่อละก้อนกายนี้แล้วท่านจะไม่มีภพชาติอีกต่อไป
คำถามคือ เข้าใจถูกหรือผิด อย่างไร คะ
เรียนความเห็นที่ 3 ครับ
ที่ถูกต้องคือ ตราบใดที่ยังมีกิเลส มีอวิชชา ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดความเป็นไปของ
สภาพธรรมต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่ง ก็ไม่พ้นไปจากวงจรของปฏิจจสมุปบาท ที่เป็น
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร มีการทำกรรม และ เกิดวิญญาณ ที่เป็นการเกิด และ
เกิดนาม รูป เป็นต้น ส่วนพระอรหันต์ท่านละอวิชชาหมดสิ้นแล้ว จึงไม่อยู่ในวงจร
ของปฏิจจสมุปบาทที่เป็นไปในฝ่ายเกิด คือ เมื่อไม่มีอวิชชา ก็ไม่มีสังขารที่เป็นการทำ
กรรมที่เป็นไปในกุศล อกุศล เพราะพระอรหันต์ เกิดจิตเพียง 2 ชาติ คือ วิบาก และ
กิริยาจิต จึงไม่ก่อเกิดกรรม และ ไม่ก่อให้เกิดภพใหม่ แต่พระอรหันต์ ท่านดับกิเลส
อวิชชา จึงเป็นไปในวงจรของปฏิจจสมุปบาทที่เป็นไปในฝ่ายดับครับ และยังมีปัจจัย
ให้เกิดวงจรปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายเกิด แต่ไม่ใช่เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยในขณะปัจจุบัน
ชาติ แต่เพราะอาศัยสังขาร กรรมที่เคยทำแล้วในอดีต เป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก ผล
ของกรรม ที่ไม่ใช่เพียงปฏิสนธิจิตเท่านั้น แต่เกิดวิบากจิตในชีวิตประจำวัน คือ เห็น
ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส ดี หรือ ไม่ดีบ้าง ครับ แต่เมื่อเห็นดี ไม่ดีแล้ว
ไม่เกิดวงจรปฏิจจสมุปบาทฝ่ายกิเลส คือ ไม่เกิดตัณหา และ กิเลสอื่นต่อไป ครับ
ขออนุโมทนา
กรรม...
เพราะเรายังมีอวิชชา ที่ยึดในความมีตัวตน ยึดขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ) จึงสร้างชาติทั้งที่เป็นกุศล และอกุศล เพราะชาติกุศลและอกุศลนี้เอง
เป็นเหตุให้เกิดวิบากจิต หรือกริยาจิต ทำให้เป็นไปอย่างนี้จนกว่าเราจะหมดอวิชชา
อวิชชา คือการยึดในความมีตัวตน
วิชชา คือการประจักษ์แจ้งว่าเราไม่มี (นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวตน
ของเรา)
หนทางที่จะดับทุกข์ ละอวิชชา คือการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม
= มรรคมีองค์ 8)
ต้องเดินตามมรรคต่อไป....
ขอบคุณ และขออนุโมทนา