ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม ไม่เว้นอะไรเลย ขณะนี้เป็นธรรม

 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่  12 ก.ย. 2556
หมายเลข  23579
อ่าน  829

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

๑. ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม ไม่เว้นอะไรเลย

๒. ขณะนี้เป็นธรรม

๓. ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเป็นจริง แสนสั้น ชั่วคราว ที่กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ขอเรียนถามค่ะ

๑. ที่ว่าไม่เว้นอะไรเลย หมายความอย่างไร (เช่น เรื่องราวไม่เป็นธรรม)

๒. ขณะที่ นอกเหนือจาก"ขณะนี้" ไม่เป็นธรรม หรือคะ แล้วเป็นอะไรคะ

๓. ขณะที่ธรรมไม่ปรากฏ ก็ไม่เรียกว่าเป็นธรรม ใช่ไหมคะ แล้วเป็นอะไรคะ

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับคำอธิบายค่ะ ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ที่ว่าไม่เว้นอะไรเลย หมายความอย่างไร (เช่น เรื่องราวไม่เป็นธรรม)

ธรรม มีหลากหลายความหมาย ทั้งที่เป็น สภาพธรรมที่มีจริง ทีเป็น จิต เจตสิก รูป และ นิพพาน และ สภาพธรรมที่ไม่มีจริงที่ไม่มีลักษณะ คือ บัญญัติธรรม ที่เป็น เรื่องราวธรรม ดังนั้น คำที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม ไม่เว้นอะไรเลย เป็นการแสดง ที่มุ่งถึง สภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นปรมัตถธรรมเป็นสำคัญ ที่กำลังมีในขณะนี้ ดังนั้น สภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ ก็ไม่พ้นจากธรรมเลย คือ จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้ กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้กระทบสัมผัส คิดนึก สี เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ดังนั้น ในชีวิตประจำวัน ในสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฎ จึงไม่เว้นจากธรรมเลยครับ แต่ไม่ได้มุ่ง กล่าวถึงบัญญัติธรรม ที่เป็นเรื่องราว ครับ

๒. ขณะที่ นอกเหนือจาก "ขณะนี้" ไม่เป็นธรรม หรือคะ แล้วเป็นอะไรคะ

นอกเหนือจากขณะนี้ ก็ไม่พ้นจากธรรม ครับ ซึ่งคำว่า ขณะนี้ คือ กำลังปรากฎ ที่เป็นอารมณ์ของจิตนั่นเอง แต่ขณะที่ไม่ได้ปรากฎในขณะนี้ คือ ไม่ได้มีจิตไปรับรู้ ก็ไม่ปราศจากธรรม ที่มีจริง เช่น เสียงในป่า เป็นต้น ก็มีธรรม มีจิตผู้อื่นที่เกิดขึ้น รวม ความว่ามีธรรม แม้ไม่ใช่ในขณะนี้ที่เป็น จิต เจตสิก รูป ครับ

๓. ขณะที่ธรรมไม่ปรากฏ ก็ไม่เรียกว่าเป็นธรรม ใช่ไหมคะ แล้วเป็นอะไรคะ

ขณะที่ธรรมไม่ปรากฎ หมายถึง ไม่ปรากฎกับจิตที่รับรู้ คือ ไม่เกิดจิตรับรู้เกิดขึ้น แต่ธรรมที่ไม่ปรากฎ แต่มีอยู่ก็มี เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้น ซึ่งก็เรียกว่าเป็นธรรมได้ เพราะ มีจริง เช่น รูปธรรมที่ประชุมรวมกัน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่แม้ไม่รู้ ก็มีอยู่ ก็เป็นธรรมที่ มีจริง แต่ไม่ปรากฎให้รู้ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 12 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. ที่ว่าไม่เว้นอะไรเลย หมายความอย่างไร (เช่น เรื่องราวไม่เป็นธรรม)

-ต้องมั่นคงจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ สิ่งหนึ่งสิ่งใด มีทั้งหมด ๔ อย่าง คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการ รู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต ดับพร้อม กับจิต และ สำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ ไม่รู้อะไร) และ นิพพาน (สภาพธรรมที่ดับทุกข์ดับกิเลส ไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาพธรรม ที่ตรงกันข้ามกับสภาพธรรมที่เกิดับอย่างสิ้นเชิง) สิ่งที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากปรมัตถ ธรรม ๔ อย่างนี้เลย

๒. ขณะที่ นอกเหนือจาก "ขณะนี้" ไม่เป็นธรรม หรือคะ แล้วเป็นอะไรคะ

-ธรรม มีมาก ทั้งที่เป็นนามธรรมและ รูปธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ละขณะเป็นธรรม แต่ละขณะ ก็คือ ขณะนี้ มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป แต่ถ้านอก จากขณะนี้ ก็มีธรรม มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปเหมือนกัน แต่ไม่ปรากฏ ซึ่งก็มีจริงๆ เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย

๓. ขณะที่ธรรมไม่ปรากฏ ก็ไม่เรียกว่าเป็นธรรม ใช่ไหมคะ แล้วเป็นอะไรคะ

-สภาพธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จะรู้หรือไม่รู้ก็ตามความเป็นจริง ของธรรมก็เป็นจริงอย่างนี้ มีธรรมอยู่ตลอด เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ยกตัวอย่างเช่น รูปที่เกิดจากกรรม เกิดอยู่ตลอดทุกอนุขณะ (ขณะย่อย) ของจิต จิตเกิดับสืบต่อกัน อยู่ตลอดอย่างไม่ขาดสาย เจตสิกก็เกิดกับจิตอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ปรากฏ แม้จะ ไม่ปรากฏ แต่ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นจะไม่ใช่ธรรม ความจริงแล้วเป็นธรรม แม้จะไม่ปรากฏ ก็มีจริงๆ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 12 ก.ย. 2556

สิ่งที่ปรากฏ ก็คือ สิ่งที่มีจริง ที่กำลังเห็นเป็นธรรม สิ่งที่ไม่ปรากฎ ก็เป็นธรรม แต่ไม่ปรากฏกับจิตและปัญญา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 27 ต.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ