การเจริญปัญญาในกุศลวิบากและอกุศลวิบากได้อย่างไร

 
สิริพรรณ
วันที่  21 ก.ย. 2556
หมายเลข  23656
อ่าน  1,101

1.ได้ยินเสียงที่ดีเช่น เสียงสวดมนต์ หรือฟังพระธรรม หรือพ่อแม่ให้พร เสียงคนชม

เชยป็นกุศลวิบาก ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เช่น บ่น ด่า สุนัขกัดกัน เสียงเครื่องจักรดังมาก

ได้กลิ่นเหม็น เป็นอกุศลวิบาก เพราะมีเหตุที่เคยทำดี หรือไม่ดี จึงได้พบสิ่งดี ไม่ดี

ใช่หรือไม่คะ อยู่ท่ามกลางเสียงเพลงไพเราะในงานเลี้ยงแต่เราไม่อยากอยู่ รู้สึกว่า

เสียเวลา อยากกลับบ้าน เพื่อไปฟังธรรมะดีกว่า จิตที่ไม่ชอบนั้นเป็นอกุศลใช่ไหม

2.การเจริญปัญญาเมื่อได้ประสบกับ กุศลวิบากและอกุศลวิบากเพื่อละอกุศลกรรม ทั้ง

โลภะ โทสะ โมหะอย่างไรคะ อกุศลกรรม กับอกุศลจิต ควรละอะไร อกุศลจิตทำให้เกิด

อีกได้ใช่ไหมคะ

3.การสะสมสืบต่อของจิตจากอกุศลจะเป็นกุศลได้หรือไม่ จิตที่เป็นกุศลกับอกุศลเกิด

สลับกันไปมา จิตที่ต่างกัน2ประเภทนี้ก็เป็นอนันตรปัจจัยกันได้ด้วยหรือคะ (ระหว่าง

กุศลจิตและอกุศลจิต)

ขอท่านอาจารย์เมตตาให้ความกระจ่างด้วย กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

1.ได้ยินเสียงที่ดีเช่น เสียงสวดมนต์ หรือฟังพระธรรม หรือพ่อแม่ให้พร เสียงคน

ชมเชยป็นกุศลวิบาก ได้ยินเสียงที่ไม่ดี เช่น บ่น ด่า สุนัขกัดกัน เสียงเครื่องจักร

ดังมาก ได้กลิ่นเหม็น เป็นอกุศลวิบาก เพราะมีเหตุที่เคยทำดี หรือไม่ดี จึงได้พบ

สิ่งดี ไม่ดีใช่หรือไม่คะ อยู่ท่ามกลางเสียงเพลงไพเราะในงานเลี้ยงแต่เราไม่อยาก

อยู่ รู้สึกว่าเสียเวลา อยากกลับบ้าน เพื่อไปฟังธรรมะดีกว่า จิตที่ไม่ชอบนั้นเป็น

อกุศลใช่ไหม

----------------------------------------------------------

การได้ยิน เป็นผลของกรรม ได้ยินเสียงที่ดี ก็เพราะ กุศลวิบาก คือ กรรมดี

ให้ผล เป็นปัจจัยให้ได้ยินเสียงที่ดี ได้ยินเสียงที่ไมดี่ เพราะ อกุศลกรรมให้ผล

เกิดอกุศลวิบากทางหู ทำให้ได้ยินเสียงที่ไม่ดี แต่ เสียงที่ดี เสียงที่ไม่ดี การ

ได้ยินเสียงที่ดี การได้ยินเสียงที่ไม่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการชอบ หรือ ไม่ชอบของ

เรา เพราะ การชอบ หรือ ไม่ชอบ เสียงนั้น เป็นอกุศลจิต ที่เป็นเหตุใหม่ ไม่ใช่

เป็นการกำหนดว่า หากชอบเสียงนั้น เสียงนั้นจะเป็นเสียงที่ดี หรือ เป็นการ

ได้ยินเสียงที่ดี ครับ หรือ หากไม่ชอบ เสียงนั้น ก็ไมได้หมายความว่า เสียงนั้น

จะไม่ดีตามที่ชอบ หรือ เป็นการได้ยินเสียงที่ไม่ดี ตามการไม่ชอบ เพราฉะนั้น

เสียงไม่ดี ก็ต้องเป็นสียงที่ไมดี่ เสียงที่ดี ก็ต้องเป็นเสียงที่ดี เปลี่ยนแปลงไม่ได้

หากแต่ว่า เมื่อไม่ชอบในเสียงนั้น ไม่ชอบการได้ยินเสียงนั้น เป็นอกุศลจิตที่เป็น

โทสะ และ เมื่อไม่ชอบเสียงที่ดี มีการชมเชย เสียงดนตรีไพเราะ การไม่ชอบ เป็น

อกุศลทีเป็นโทสะ เป็นอกุศลจิต แต่ เสียงที่ดี การได้ยินก็ไม่เปลี่ยนลักษณะ ก็ยัง

เป็นเสียงที่ดีอยู่ เป็นการได้ยินที่ดี ทีเป็นกุศลวิบกา ครับ จิตที่ไม่ชอบ จึงเป็นอกุศล

จิตแน่นอน ครับ ที่เป็นโทสมูลจิต

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

2.การเจริญปัญญาเมื่อได้ประสบกับ กุศลวิบากและอกุศลวิบากเพื่อละอกุศลกรรม

ทั้งโลภะ โทสะ โมหะอย่างไรคะ อกุศลกรรม กับอกุศลจิต ควรละอะไร อกุศลจิต

ทำให้เกิดอีกได้ใช่ไหมคะ

------------------------------------------------------

กรรม ที่เป็น บาปมี หลายระดับ ทั้งที่มีกำลังมาก และ มีกำลังน้อย บาป อกุศลที่มี

กำลังมาก เรียกว่า อกุศลกรรม คือ ถึงขนาดล่วงศีล เช่น การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น

ที่เป็นเหตุให้เกิดวิบากเกิดในอบายภุมิได้ ส่วน บาป อกุศลกรรมที่มีกำลังน้อยกว่า

คือ อกุศลจิตที่ล่วงออกมาทางกาย วาจา แต่ไม่ถึงกับล่วงศีล และ อกุศลจิตทีเกิดขึ้น

ที่มีกำลังน้อย ไม่ล่วงศีล เช่น โกรธในใจ เห็นแล้วชอบ เป็นต้น ซึ่ง หนทางการอบรม

ปัญญาที่ถูกต้อง ไม่ใช่การจะไปละ อกุศลไหนก่อน เพราะ ในความเป็นจริง แม้แต่

การจะล่วงศีล ทีเป็นอกุศลกรรม ไม่เกิดอีก ก็ต้องเป็นพระโสดาบัน ส่วนการละอกุศล

จิตหมดสิ้น คือ เมื่อเป็นพระอรหันต์ หนทางการอบรมปัญญา คือ ไม่ใช่การจะไปละ

อะไรก่อน แต่เป็นหนทางที่เข้าใจ ในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียง

ธรรมไม่ใช่เรา เห็นดี ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราเห็น เห็นไม่ดี ก็เป็นธรรมไม่ใช่เราทีเห็น

ไม่ดี โกรธเกิดขึ้นในใจ เป็นอกุศลจิต ก็ไม่ใช่เราที่โกรธ เป้นแต่เพียงธรรม ดังนั้น

ปัญญาขั้นต้น รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เราก่อน ยังละแม้อกุศลจิต และ อกุศลกรรม

ไม่ได้ แต่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เมื่อปัญญาถึงความเป็นพระโสดาบัน ย่อมละอกุศลกรรม

ได้ แต่ยังมีอกุศลจิตอยู่ จนถึงความเป็นพรระอหันต์ หนทางที่ถูกต้อง คือ ไม่ต้อง

ไปพยายามที่จะละ แต่ ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากขั้นการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

ดังนั้นที่ถูก ก็ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ต่อไปเรื่อยๆ ปัญญาก็จะค่อยๆ เกิดขึ้นที

ละนิด ซึ่งเป้นหนทางที่ถูกต้อง ครับ และ ในอนาคตก็จะรู้ความจริงในสภาพธรรม

ทีเ่กิดขึ้น ตามควาเมป็นจริงได้ แต่ต้องค่อยๆ อบรมไป ครับ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

3.การสะสมสืบต่อของจิตจากอกุศลจะเป็นกุศลได้หรือไม่ จิตที่เป็นกุศลกับอกุศล

เกิดสลับกันไปมา จิตที่ต่างกัน2ประเภทนี้ก็เป็นอนันตรปัจจัยกันได้ด้วยหรือคะ

(ระหว่างกุศลจิตและอกุศลจิต)

- สภาพธรรมเกิดดับ สลับกันอย่างรวดเร็ว แม้แต่กุศลจิตเกิดขึ้น อกุศลจิต ก็

สามารถเกิดได้ ในขณะจิต่อๆ ไป แต่ ก็มีจิตประเภทอื่นๆ ขั้นอยู่ แต่ เพราะการดับ

สลับกันอย่างรวดเร็ว จึง เสมือน ขณะเดียวกัน พร้อมกัน ที่แท้คนละขณะจิต และ

มีจิตอื่นมาขั้น ด้วย เช่น ชวนจิตทีเกิดอกุศลจิตดับไป ก็อาจมี ตทาลัมพณะจิต

มี ภวังคจิต เป็นปัจจัยเกิด ต่อได้ โดยสืบต่อโดยอนันตรปัจจัย แต่ ไม่ใช่ อกุศล

จิตเกิดแล้ว กุศลจิตจะเกิดต่อทันทีโดยอนันตรปัจจัย แต่ มีจิตอื่นเกิดต่อขั้นก่อน

ก่อนที่จะถึง กุศลจิต ครับ แต่ อกุศล เป็นปัจจัยให้เกิด กุศลได้ โดยปัจจัยอื่น คือ

ปกตูปนิสสยปัจจัย เช่น โกรธ แล้วก็ระลึกได้ว่า ไม่ดี เป็นต้น ครับ อกุศล เป็น

ปัจจัยให้เกิด กุศลจิต นี่คือ ความละเอียดของพระธรรม ขออนุโมทนา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สิริพรรณ
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ได้ประโยชน์มากค่ะ คือ เข้าใจดังนี้

1.กุศลกับอกุศลวิบากเป็นเหตุเดิม ดีหรือไม่ดีต้องยอมรับ ตามสภาพเป็นจริง ไม่ขึ้นกับว่าชอบ หรือไม่ชอบ

2 กุศลจิตและอกุศลจิตเป็นหตุใหม่ที่ควรต้องใส่ใจ ระวังอกุศลจิต และอกุศลกรรม

3.ความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เกิดเพราะมีเหตุและปัจจัย หมดเหตุและปัจจัยก็ดับไปแม้ได้พบอกุศลวิบากก็สามารถเจริญปัญญาให้เป็นกุศลก็ได้..... เมื่อครู่นี้หลังจากได้อ่านคำตอบจากท่านอาจารย์ ก็ได้ยินเสียงไซเรนรถพยาบาล ก็นึกว่า ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์เพราะการเกิดแท้ๆ และขอเอาใจช่วยให้เขาพ้นทุกข์ไม่ว่าคนเจ็บหรือญาติๆ ต่างจากเมื่อก่อนก็อาจไม่ทันคิดให้เป็นกุศล หรือปัญญา

วันนี้คุ้มค่ามากค่ะ ที่ได้ฟังพระธรรมจากท่านอ.สุจินต์ตั้งแต่เช้า และได้รับความกระจ่างจากบ้านธรรมะ ด้วยความเมตตาจากท่านอาจารย์ ความอยากให้มีความกระจ่างเช่นนี้ตลอดไปก็คงไม่ได้ใช่ไหมคะ เพราะไม่ใช่เราที่บังคับได้ ขอตั้งสัจจาธิษฐานว่า จะขอฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ทุกภพทุกชาติเพื่อสร้างเหตุที่สะสมความเข้าใจถูกตราบจนชาติสุดท้ายแห่งการหลุดพ้น

ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์ด้วยความสำนึกพระคุณค่ะ

สิริพรรณ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
papon
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-การได้ยินเป็นผลของกรรม ไม่มีใครทำให้ได้ิยินเกิดขึ้นได้ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

โดยเฉพาะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดจิตได้ยินขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าจะได้ยินอะไร เป็นเสียง

่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนา ถ้าเป็นผลของกรรมดี ก็ทำให้ได้ยินเสียงที่ดี

น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นของอกุศลกรรม ก็ทำให้

ได้ยินเสียงที่ไม่น่าปรารถนา โดยที่ไม่มีใครทำให้เลย เพราะผลที่เกิดขึ้นก็ต้อง

มาจากเหตุคือกรรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญ ขณะที่ชอบ เป็นโลภะ ขณะที่

ไม่ชอบ เป็นโทสะ ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงสภาพธรรมไม่ได้ แต่ต้องมั่นคงในความ

เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ถ้ามีความคิดที่จะฟังพระธรรมดีกว่าจะมาฟังในสิ่ง

ที่ไม่มีประโยชน์ก็เป็นอีกขณะหนึ่ง เป็นความตั้งใจที่ดีที่จะได้ฟังพระธรรมเพื่อความ

เข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น

-ตามความเป็นจริงแล้ว จะได้ประสบกับอะไรในชีิวิตประจำวันนั้น ไม่อยู่ในอำนาจ

บังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ขณะที่ได้ิเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบ

สัมผัสทางกาย นี้แหละคือ วิบาิก ที่เกิดขึ้นไปในชีวิตประจำวัน แต่ขณะต่อไป

สำคัญมาก เพราะเป็นไปตามการสะสมจริงๆ หลังจากได้รับวิบากแล้ว จิตเป็น

อะไร กุศล หรือ อกุศล ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ขณะที่ประเสริฐ มีค่า ก็คือ ขณะี

ที่กุศลเกิดขึ้นเป็นไป แต่ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้นเป็นไป

ตามการสะสมจริงๆ เพราะบางคนได้รับวิบากที่ไม่ดี ก็ทำไม่ดี เกิดอกุศลจิต แต่

บางคนก็เข้าใจถูกเห็นถูก ไม่หวั่นไหว ได้ หรือ หลังจากที่ได้รับวิบากที่ดีแล้ว

บางคนก็กระทำไม่ดีต่อไป ก็ได้ แต่ถ้าเป็นผู้สะสมมาดี มีปัญญาความเข้าใจถูก

เห็นถูก ก็จะไม่เพลิดเพลินมัวเมา เพราะเข้าใจว่าเป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย

กุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไปได้ในขณะนั้น กำลังแห่งปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เป็นผู้

มั่นคงไม่หวั่นไหวไม่ว่าจะประสบกับวิบากประเภทใดก็ตาม

-กุศลจิต กับ อกุศลจิต จะไม่เกิดพร้อมกัน เป็นสภาพธรรมที่มีความแตก

ต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่กุศลจิตเกิดไปแล้ว ไม่ใชว่าอกุศลจิตจะเกิดสืบ

ต่อทันที หรือ หลังจากที่อกุศลจิตเกิดแล้ว กุศลจิตจะเกิดสืบต่อทันที ไม่ใช่

อย่างนั้น แต่จิตทั้ง ๒ ประเภท เป็นปัจจัยได้ แต่ต้องไม่ใช่อนันตรปัจจัย

ความเป็นจริงของธรรมเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลง

ไม่ได้ แต่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกได้ เมื่อไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรมเป็น

ปกติในชีวิตประจำวัน ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 21 ก.ย. 2556

เวลาที่เจอ กุศลวิบาก อกุศลวิบาก ถ้าปัญญาเกิดก็รู้ว่าเป็นกรรมของเราเอง ที่จะ

ได้รับกุศลวิบาก หรือ กุศลวิบาก คนอื่น หรือ ใครก็รับแทนไม่ได้ เพราะ เป็นกรรม

ที่เราทำมาเอง ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
สิริพรรณ
วันที่ 22 ก.ย. 2556

การได้ฟังพระธรรมมีประโยช์สูงสุดอย่างยิ่ง กราบขอบพระคุณท่านที่เป็นกัลยาณมิตรด้วยความเคารพ

ขอท่านอนุโมทนาบุญกุศลนี้นะคะ ว่าช่วยให้สัตว์โลกอย่างดิฉันให้เข้าใจในการกระทำที่ถูกต้องต่อวิบากต่างได้มากขึ้นจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
papon
วันที่ 23 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ